“ฮ่องกง” เที่ยงต่างประเทศง่ายๆ แบบสบายกระเป๋า (2)

On ธันวาคม 27, 2013 by admin

วันที่สองของการเดินทาง….

วันนี้ตั้งปลุกแต่เช้า เพราะมีแผนไปนั่ง “กระเช้า Ngong Ping 360ํ” ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ 9 โมงเช้า เราเลยต้องรีบตื่นตั้งแต่ 7 โมงเช้า และอาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินทางทันที สาเหตุที่ส้มต้องไปถึงเร็วเพราะถ้าไปช้าผู้คนจะมาต่อคิวยาวเป็นร้อยๆ คนเลยล่ะค่ะ ส้มว่าเรายอมตื่นเช้าซักหน่อยแลกกับการไม่ต้องมาต่อคิวเป็นชั่วโมง คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มอีกนะคะการขึ้นกระเช้านองปิงมีสองรูปแบบค่ะ คือแบบกระเช้าที่เป็นพื้นกระจกใส (Crystal Cabin) และแบบพื้นทึบ (Standard Cabin) ซึ่งราคาแบบแรกจะแพงกว่า งานนี้ส้มเลือกแบบไม่ต้องคิดเลยค่ะว่าขอแบบหลังดีกว่า ก็แหม..ส้มกลัวความสูงขึ้นสมองน่ะสิคะ แค่นั่งกระเช้าก็รวบรวมความกล้าแทบแย่แล้ว สำหรับการซื้อตั๋วเราสามารถไปซื้อที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าได้เลย หรือเพื่อนๆ จะเลือกใช้วิธีซื้อจากประเทศไทยไปก็ได้ค่ะ ส้มซื้อใบละ 400 บาท ส้มว่ามันดีตรงที่เราไม่ต้องไปต่อคิวรออะไร แค่เอาบัตรที่ซื้อมาไปยื่นที่เคาน์เตอร์พร้อมพาสปอร์ต แค่นี้เค้าก็ให้ตั๋วนั่งกระเช้ามาแล้วล่ะค่ะ

ปล.1 เพื่อนๆ ลองหาข้อมูลจาก google ดูได้เลยค่ะ มีคนขายบัตรเยอะแยะเลย เว็บนึงที่ส้มแนะนำคือ http://www.hongkongfanclub.com

อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็รีบเดินทาง ส้มนั่ง MTR ไปลงที่สถานี Tung Chung Exit B (ฝั่งลันเตา) แล้วเดินไปทางห้าง City Gate ค่ะ (ข้อมูลจากหนังสือหน้า 244) เราจะเห็นสะพานลอยยาวๆ เขียนป้ายต้อนรับหลากหลายภาษาอยู่ เดินขึ้นไปโลดค่ะ แล้วก็จะเจอเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วค่ะ (ของส้มก็เอาบัตรที่ซื้อมาจากไทยไปแลก) แล้วรอต่อแถวขึ้นกระเช้ากันเลยค่ะ ตื่นเต้นๆ

อุ้ยมีภาษาไทยด้วย ดีใจจัง

ลุย

เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว

หน้าตาของตั๋วสำหรับขึ้นกระเช้านองปิง

ระยะเวลาในการขึ้นกระเช้า (ขาไป) นานกว่าขาลงค่ะ ตอนกลับนี่แอบกลัวเลย กระเช้าเลื่อนเร็วเวอร์ ไอ้คนขี้กลัวอย่างเราหน้าซีดปากสั่น อายคนข้างๆ ชะมัดอ่ะ แต่ถึงจะกลัวความสูงแค่ไหนแต่ส้มว่าคุ้มนะ มันได้เห็นวิวเกาะฮ่องกงแบบ 360ํ สมชื่อจริงๆ อ่ะ แถมส้มได้มุมถ่ายภาพพระพุทธรูปเทียนถาน (พระใหญ่) แบบแจ่มๆ อีกด้วยล่ะค่ะ

นั่งข้ามเขาหลายลูกเลยค่ะ

เห็นพระใหญ่อยู่ไกลๆ

เราใช้เวลานั่งกระเช้าข้ามเขามากว่า 5 ลูก (บ่ะเจ้า ไกลอยู่นะเนี๊ยะ) ก็มาถึงอีกฝั่งนึง ที่นี่เป็นที่ตั้งของวัดโปหลิน , พระใหญ่ รวมถึงหมู่บ้าน Ngong Ping Village (ข้อมูลหนังสือหน้า 244 – 246) เราจะผ่านหมู่บ้านนี้ก่อนที่จะไปถึงวัดและพระใหญ่ค่ะ ที่นี่มีทั้งร้านอาหาร , ร้านของที่ระลึก , ร้านกาแฟ แถมจุดถ่ายรูปมากมาย งานนี้ก็เลยถือโอกาสเลือกกินข้าวเช้ากันที่นี่เลยค่ะ

หมู่บ้าน Ngong Ping Village

มุมถ่ายภาพในหมู่บ้าน

ส้มเลือกร้านขายบะหมี่ค่ะ มื้อนี้จ่ายไป 56 HKD (ชามละ 28 HKD)

อิ่มแล้วเราก็เดินมาตามทางเรื่อยๆ ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูป ซื้อน้ำ จุดมุ่งหมายต่อไปคือขึ้นไปไหว้พระใหญ่กันค่ะ มาฮ่องกงก็ต้องมาแวะไหว้พระใหญ่นหน่อย เดี๋ยวเค้าหาว่าเราพลาดสิ่งสำคัญได้นะจ๊ะ บันไดทางขึ้นก็หลายร้อยขั้นอยู่ค่ะ แต่แรงศรัทธา (สร้างภาพมั่ก) ส้มเลยหอบร่างตัวเองขึ้นไปได้ ><“

ลานกว้าง ก่อนถึงพระใหญ่จ๊ะ

แรงใจพร้อม แรงกายพร้อม เดินกันเถอะพวกเรา!!!

องค์ใหญ่สมชื่อมากเลยค่ะ

ประติมากรรมสวยๆ ทั้งนั้น ถ่ายรูปเพลินค่ะ

ประตูสีสวย ห้ามใจไม่ไหว

ตอนแรกส้มวางแผนจะเดินไปที่วัดโปหลินต่อ แต่พอมองนาฬิกาก็เที่ยงแล้ว ถ้าไปที่วัดโปหลินส้มกลัวว่าจะไปวัดเจ้าแม่กวนอิมที่อยู่นอกเมืองไม่ทัน งานนี้เลยต้องตัดใจค่ะ ระหว่างเดินกลับมาทางเดิมส้มแอบเห็นป้ายร้านของหวาน “Honeymoon Dessert” ที่หลายๆ คนรีวิวไว้ ความอยากรู้อยากลองเลยทำให้สองขาก้าวเข้าไปแบบไม่ยั้งคิด (แหม! ทีวัดโปหลินไม่ยอมไป 555)

หน้าร้าน Honeymoon Dessert

เมนูยอดฮิต “แพนเค้กมะม่วง” หน้าตาดีสีสวย แต่ไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ค่ะ ถ้าเย็นกว่านี้จะเลิศมาก  (ประมาณ 28 HKD)

อีกอันส้มจะเรียกว่าไงดี หวานเย็นผลไม้แล้วกัน มันคือแตงโม-เฉาก๊วย แช่เย็นๆ มาผสมกันอ่ะค่ะ (27 HKD)

กรี๊ดๆๆๆๆ นาฬิกาบอกเวลาว่าชั้นสายแล้ว มัวแต่เอ้อระเหย ถ่ายรูปของหวานอยู่นั่นแหละ ไม่ได้การรีบเดินทางเข้าเมืองด่วน ที่ส้มต้องรีบเพราะว่า “วัด Kwun Yam Temple หรือวัดเจ้าแม่กวนอิม” ที่ส้มจะไปมันอยู่นอกเมือง เเละเดินทางหลายต่อ เิริ่มจากนั่งกระเช้ากลับไปทางเดิม แล้วขึ้น MTR กลับไปที่สถานี Central Exit A (ฝั่งเกาะฮ่องกง) จากนั้นก็ต้องเดินไปที่ Exchange Square เเละยังต้องไปที่จุดจอดรถเมล์ (นั่งได้ทั้งสาย 6 , 6X , 66 หรือ 260) เพื่อนั่งตรงไปที่อ่าว Repulse Bay Beach…นี่แหละค่ะสาเหตุที่ส้มต้องรีบ!!!

ปล.2 ฮ่องกงแบ่งเป็นเกาะ 4 ฝั่ง คือ ฝั่งฮ่องกง , ฝั่งเกาลูน , ฝั่งลันเตา และฝั่งนิวเทอร์ริทอรี่ส์

ระหว่างทางเดินกลับ ส้มเห็นคิวเหล่ามนุษยชาติหลายร้อยยืนรอซื้อตั๋วขึ้นกระเช้านองปิง โดยไม่รู้ชะตากรรมเลยว่า “ชั้นจะได้ขึ้นเมื่อไหร่ว่ะ” พอเห็นก็แอบยิ้มกรุ้มกริ่มในใจ (หรือทางสีหน้าด้วยหว่า) ว่าแกรอไปเถอะ!!! ไม่ยอมตื่นเช้าแบบชั้น เป็นไงล่ะ รอนานม่ะ จะบ่ายโมงอยู่แล้วจะได้ขึ้นมั้ยน่ะ (อุ้ย! ภาพลักษณ์เสียป่าวค่ะเนี๊ยะ ^_^”)

ยาวไปครับ ยาวไป

ส้มนั่งรถเมล์สาย 6 มาค่ะ คนขับแกดริฟขึ้นเขามา กลัวก็กลัว มันส์ก็มัน (ซาดิสนะเราน่ะ)

ก่อนลงก็มองหาตึกหน้าตาแบบนี้ไว้นะคะ เพราว่าคุณต้องลงที่หน้าตึกนี้ค่ะ

ถึงแล้วอ่าว Repulse Bay (ทะเลไทยสวยกว่าเยอะ ว่ามั้ยคะ)

เดินเลาะชายหาดมานิดหน่อยก็ถึงวัดแล้วค่ะ

สะพานนี้เชื่อกันว่าถ้าได้เดินข้ามจะอายุยืนเพิ่มอีก 3 ปี (แต่ห้ามเดินย้อนกลับมานะจ๊ะ เค้าถือ)

ถ้าโยนเหรียญเข้าปากปลาได้ จะสมหวังในสิ่งที่ขอไว้จ้า (แต่ส้มทำไม่ได้ง่า)

ไหว้พระ ขอพร ข้ามสะพาน โยนเหรียญ ทำครบทุกกิจกรรมแล้ว กลับกันดีกว่า (ตอนนั้นเวลา 16.30 น.แล้วค่ะ)  เฮ้ย!!!! นึกขึ้นได้ว่าลืมอะไร “ลืมกินข้าวเที่ยง” นี่หว่า ถึงว่าเรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมี มัวแต่ห่วงเที่ยวจนลืมกินข้าวซะอย่างงั้น งานนี้ต้องจัดมื้อหรูซะหน่อยล่ะ มื้อเย็นวันนี้ส้มมีเมนูในใจแล้วค่ะ นั่นคือ “ห่านย่าง” เป็นของขึ้นชื่ออีกอย่างในฮ่องกงที่ต้องมาลองค่ะ ทั้งเป็ด/ห่านย่าง แต่มาถึงนี่ก็ต้องกินห่านให้เป็นบุญปากซะหน่อยดีกว่าค่ะ (เกิดมาไม่เคยกิน)

ส้มเลือก “ร้าน Keung Kee Restaurant” เมนูเด่น ห่างย่าน , หมูย่าง (ข้อมูลหนังสือหน้า 116) ร้านนี้ตั้งอยู่ฝั่งฮ่องกงค่ะ แค่เรานั่งรถเมล์กลับเข้ามาในเมือง แล้วก็เดินต่ออีกหน่อย (ถือซะว่าเดินชมเมืองฮ่องกงยามราตรี) ก็มาถึงหน้าร้านแล้วค่ะ ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษด้วยนะคะ แต่พอจะสั่งส้มก็ไม่แน่ใจว่ามันรายการไหนกันแน่ เลยชี้รูปห่านย่างในหนังสือนำเที่ยวให้เค้าดูซะเลย (ง่ายดี) ส้มสั่งไปทั้งหมด 3 เมนูบวกข้าวอีก 2 ถ้วยค่ะ เรื่องรสชาติอาหารอร่อยใช้ได้ ส่วนราคาก็ไม่ได้แพงจนเกินไป แต่ส้มว่าถ้าห่านกับหมู่ย่างมันร้อนๆ กว่านี้จะดีมาก เพราะที่เค้าเสิร์ฟมามันไม่ร้อนเลยอ่ะ (เสียใจ) งานนี้กินไม่หมดเพราะจานใหญ่มาก เลยห่อกลับมากินต่อที่ห้องด้วยล่ะค่ะ (ไม่มีเหลือทิ้ง) สรุปมื้อนี้เราจ่ายค่าอาหาร+ชามะนาวอีก 2 แก้ว รวม 206 HKD

หน้าร้าน แค่เห็นก็น้ำลายไหลแล้ว

“ห่านย่าง” เมนูเด็ดของร้าน (90 HKD)

ส้มว่าหนังของห่านจะหนาและมันมากกว่าเป็ดค่ะ (รสออกหวาน กินกับข้าวร้อนๆ อร่อยมาก)

“หมู่ย่าง” ชิ้นหนาสะใจมาก (80 HKD)

“คะน้าลวกราดน้ำมันหอย” ที่กินมาทุกร้าน ร้านนี้อร่อยสุดๆ ผักสดหวานกรอบมั่กๆ (16 HKD)

ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกลนัก…เรายังเหลือภารกิจที่ค้างคาจากเมื่อคืนนี้ นั่นคือการมาชมการแสดงแสงสีเสียงที่มีชื่อว่า “The Symphony of Lights” หรือ SOL ซึ่งมีจุดชมและถ่ายรูปหลักๆ 3 แห่ง คือ บริเวณ Avenue of Stars , หน้า Clock Tower ตรง Hong Kong Museum of Arts และถ้าอยากหรูก็ต้องนั่งเรือล่องในอ่าวชมโชว์มันซะเลยค่ะ (แต่อย่างหลังนี่ต้องจองล่วงหน้านะคะ) ส่วนส้มเลือกมาถ่ายรูปบริเวณ Avenue of Stars ค่ะ

การแสดง The Symphony of Lights (SOL) เป็นการแสดงแสงสีเสียง ริมอ่าววิคตอเรีย โดยใช้การยิงแสง Laser  และประดับไฟบนตึกต่างๆ ฝั่งฮ่องกง ซึ่งถือว่าเป็นการแสดงที่ได้รับความนิยมจากคนท้่องถิ่นรวมถึงนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ด้วย การแสดงจะเริ่มขึ้นในเวลา 20.00 น. โดยใช้เวลาแสดงประมาณ 15 นาทีค่ะ (ชมการแสดงฟรี) แนะนำสำหรับคนชอบถ่ายรูป อย่าลืมนำขาตั้งกล้องไปด้วยนะคะ คุณจะถ่ายภาพออกมาได้สวยมากยิ่งขึ้นค่ะ

บริเวณ Avenue of Stars นอกจากจะเป็นจุดชมการแสดง SOL แล้ว ยังเป็นจุดถ่ายรูปคู่กับดาราดังทั้งอดีตและปัจจุบันของฮ่องกงด้วยค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าพวกเฮียๆ เค้าจะมายืนให้เราถ่ายรูปคู่แบบตัวเป็นๆ นะจ๊ะ (อย่างงั้นคนทะลักแน่) เค้าแค่จัดแสดงพวกป้ายที่มีรูปมือของบรรดานักแสดง แถมมีพร๊อพอีกมากมายให้เราได้แอ๊กท่าถ่ายรูปด้วยล่ะค่ะ ขอบอกคำเดียวว่า “เพลิน” จ้า ^___^

บริเวณ Clock Tower จุดชมวิวอีกหนึ่งที่

เด่นสุดเลย

แอร๊ยยยย เฉินหลง ของชั้น

บรู๊ซลี ก็มาด้วยหรอเนี๊ยะ

ซะหน่อย

ถ่ายรูป เดินเล่นจนหนำใจแล้ว ก็มาหามุมเหมาะๆ ตั้งกล้องรอถ่ายภาพการแสดงกันดีกว่าจ๊ะ ขอแนะนำนิดนึงว่าให้มาถึงก่อนเริ่มแสดงประมาณ 30 นาที-1 ชม. นะคะ ถ้ามาช้าอดได้ที่เจ๋งๆ ส้มไม่รู้ด้วย…และแล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลง การแสดงเริ่มขึ้นแว้วววววว

ถ่ายรูปไม่เก่ง เลยได้รูปเท่าที่เห็นนี่แหละจ้า แหะๆ

แล้ววันที่สองของการเดินทางในฮ่องกงก็จบลงอย่างสวยงามและประทับใจส้มมากค่ะ คราวนี้เป็นเรื่องของเท้าแล้วล่ะที่ต้องรับภาระหนักพาร่างที่แสนเหนื่อยล้ากลับที่พัก ถึงแม้ว่าส้มจะพักอยู่ไม่ไกลจากจุดแสดงเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่วันนี้เที่ยวทริปหฤโหด (ที่ตัวเองกำหนดเอง T_T”) การจะเดินกลับจึงเป็นเรื่องที่ทรมานโฮกๆ แต่ทำไงได้ จะนอนอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้ งั้นก็ต้องเดิน เดิน และเดิน ถึงห้องก็สลบครับพี่น้อง (แต่เค้าก็ตื่นมาอาบน้ำนะจ๊ะ อิอิ)

วันที่สามของการเดินทาง…..

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเที่ยวในฮ่องกงครั้งแรกแล้วค่ะ ถึงแม้จะเป็นการมาเที่ยวในเกาะเล็กๆ แบบนี้ แต่ขอบอกว่าภูมิใจโคตรอ่ะ เพราะส้มได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่ศึกษาข้อมูล จองโรงแรม และวางทริป และที่ปลื้มสุดคือเก็บทุกสถานที่อย่างที่วางแผนไว้

ไฟท์ที่ส้มจะเดินทางกลับคือ FD 3862 ขึ้นเครื่องตอน 20.50 น. แปลว่าเราเหลือเวลาที่จะชิลในฮ่องกงอีกหนึ่งวันเต็มๆ แต่จะให้จัดหนักไปโน่นมานี่เยอะๆ แบบสองวันแรกคงไม่ไหว เดี๋ยวคุมเวลาไม่อยู่ตกเครื่องล่ะแย่เลย วันนี้ส้มเลยเลือกไปเดินเล่นฝั่งเกาะฮ่องกงค่ะ เพราะส้มพักฝั่งเกาลูนเดินเล่นแต่ฝั่งนี้ เลยขอไปชมตึกสูงระฟ้าที่ฝั่งฮ่องกงซะหน่อยจ้า

แล้วส้มยังมีอีกหนึ่งภารกิจที่ต้องปฏิบัติให้ได้ นั่นคือการไปลิ้มรสโจ๊กแสนอร่อยที่ “ร้าน Nathan Noodle & Congee” หรือคนไทยเรียกกันว่า “โจ๊กไม่ลองไม่รู้” (ข้อมูลหนังสือหน้า 173) ที่นี่มีโจ๊กหอยเป๋าฮื้อที่เค้าว่ารสชาตินุ่มละมุนมากๆ ถึงแม้จะแอบเข็ดกับเป๋าฮื้อมื้อแรกโน่น แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ (แน่ะ! สโลแกนคุ้นๆ) บอกแล้วว่าทริปนี้ไม่เน้นช็อป เน้นเที่ยวและกินล้วนๆ ร้านนี้น่ารักมากค่ะมีเมนูภาษาไทยแถมพนักงานยังพูดไทยได้นิดหน่อยอีกตังหาก สบายล่ะคราวนี้

ส้มสั่งเมนูโจ๊กเป๋าฮื้อ คุณแฟนสั่งโจ๊กกบ อ่ะๆๆ อย่าเพิ่งร้องหยีนะคะ ว่าคนอะไรกินกบ ขอบอกว่าคุณคิดผิดอย่างแรง ตอนแรกส้มก็คิดเหมือนกันแหละค่ะว่ากินโจ๊กกบเนี๊ยะนะ แต่พอได้กินเท่านั้นแหละความคิดเปลี่ยนทัน เพราะมันอร่อยมาก ไม่เคยกินโจ๊กอร่อยแบบนี้มาก่อน โจ๊กฮ่องกงที่ไม่ข้นแบบโจ๊กไทย ซดได้คล่องคอมาบวกกับเนื้อกบที่เหนียวนุ่ม มันใช่อ่ะ เจออย่างนี้เข้าไป เปลี่ยนเลยค่ะ เปลี่ยนใจจากโจ๊กเป๋าฮื้อ นั่งกินแต่โจ๊กกบ คุณแฟนเลยต้องรับภาระโจ๊กเป๋าฮื้อไปโดยปริยาย 555

ร้านไม่ใหญ่มาก แต่ขอบอก “คนไทย” นั่งกันเพียบ (ดังจริง)

เมนูภาษาไทย

โจ๊กเป๋าฮื้อในตำนาน ที่นี่ให้เป๋าฮื้อแบบไม่หวงเลยค่ะ (ขอโทษทีจำราคาไม่ได้นะคะ รู้แค่ว่าไม่แพงเท่าบะหมี่เป๋าฮื้อมื้อแรก อิอิ)

“โจ๊กกบ” ผู้ที่วิ่งแซงทางโค้งชนะโจ๊กเป๋าฮื้อไปได้อย่างสง่างาม

หลังจากพิสูจน์มาเรียบร้อยแล้วนั้น ขอสรุปว่าร้านนี้ “ต้องมา” เพราะมันอร่อยมากอ่ะ ระหว่างพิมพ์นี่ยังแอบกลืนน้ำลายเลยนะเนี๊ยะ พอกินอิ่มแล้วก็ไปเดินย่อยชมเมืองกันต่อค่ะ เริ่มจาก “ถนนนาธาน” (ถนนสายนี้ไม่เคยหลับจริงๆ) ต่อด้วยการนั่งรถเมล์ไปลงที่ท่าเรือเฟอร์รี่ เพื่อข้ามไปฝั่งฮ่องกงกันค่ะ (รถสายอะไรไปลงที่ท่าเรือบ้าง ดูได้จากป้ายหน้าจุดจอดรถเลยค่ะ)

บรรยากาศที่ถนนนาธาน

ที่ท่าเรือเฟอร์รี่ส้มได้เจอขนมชื่อดังของฮ่องกงอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือ ทาร์ตไข่ค่ะ เลยซื้อมา 2 ชิ้น มีแบบธรรมดาแล้วก็หน้าชีส แต่ส้มกินไปคำเดียวนะนอกนั้นหน้าที่คุณแฟน เห็นเค้าบอกว่าอร่อยใช้ได้เลยค่ะ

สีเหลืองอร่ามเชียว

ซ้ายชีส / ขวา ธรรมดา

ได้เวลาขึ้นเรือไปฝั่งฮ่องกงแล้วววววว

ชมวิว

ขอบอกว่าฝั่งเกาะฮ่องกงนี่เจริญแบบสุดๆ ตึกสูงๆ รูปร่างแปลกตาเต็มไปหมดจนเลือกไม่ถูกว่าจะเดินที่ไหนก่อน แล้วสายตาก็ไปสะดุดสัญลักษณ์นี้ โป๊ะเชะ!! นั่นมัน “apple store” สาขาฮ่องกง ใหญ่มากอ่ะ บ้านนอกเข้ากรุงอย่างเราเลยวิ่งเข้าหาเลยค่ะ ขอบอกว่าหลุดเข้าไปแล้วออกยากมากค่ะ ที่นี่เค้ามีอุปกรณ์ของ apple มาให้เทสต์เพียบ จิ้มๆ กดๆ เพลินเลยค่ะ (สวรรค์แท้ๆ)

apple store

อยู่ใน apple store จนเกิดกิเลสเยอะมาก ไอ้นั่นก็อยากได้ ไอ้นี่ก็อยากซื้อ โอ้ย! เดินออกด่วนก่อนที่เฮียสตีฟจะร่ายเวทมนต์ให้เราควักเงินในกระเป๋าซื้ออะไรซักอย่าง….มาเที่ยวฮ่องกงได้สามวัน ส้มใช้บริการการคมนาคมเกือบทุกรูปแบบของที่นี่แล้ว ทั้งรถไฟฟ้า , รถไฟฟ้าใต้ดิน , รถเมล์ , เรือ แล้วก็เหลืออีกอย่าง “รถราง” อันนี้คลาสสิคสุดค่ะ ส้มเลยนั่งรถรางไปลงที่ห้าง SOGO ค่ะ ห้างนี้เหมาะกับคนชอบอาหารและขนมของญี่ปุ่นมากๆ เพราะชั้นใต้ดินมีซุปเปอร์มาร์เก็ตที่รวมของกินทุกสิ่งอย่างของญี่ปุ่น แต่เสียดายที่ส้มซื้ออะไรกลับมาไม่ได้มาก เพราะไม่ได้ใช้บริการโหลดกระเป๋า (ก็มันต้องจ่ายเพิ่มนินา เสียดายเงินอ่ะ)

รถรางสุดคลาสสิค

จุดรอขึ้นรถรางจะอยู่บนเกาะกลางถนนเลย

หน้าห้าง SOGO คนเยอะมาก

ได้เจ้านี่มากล่องเดียว แงแง

และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไทยล่ะจ๊ะ วิธีการเดินทางกลับน่ะหรอ ก็แค่นั่งรถเมล์สาย A21 เหมือนเดิม แต่แค่ให้ไปขึ้นคนละฝั่งกับขามาจากสนามบินนะคะ มาถึงสนามบินก็ไป Check-in ให้เรียบร้อยแล้ว แล้วก็อย่าลืมเอาบัตร Octopus Card ไปคืนที่เคาน์เตอร์ด้วยล่ะ เพราะเราจะได้เงินมัดจำ 50 HKD คืนมา แต่ถ้ามีแพลนว่าจะกลับมาฮ่องกงอีกระหว่าง 3 ปีข้างหน้านี้ก็ไม่ต้องคืนบัตรค่ะ เพราะบัตรมีอายุถึง 3 ปีเลย เพื่อนๆ คนไหนอยากซื้อของฝากอะไรไปให้คนที่รออยู่ที่บ้านก็ซื้อที่สนามบินได้เลยนะคะ เพราะที่นี่เค้ามีร้านขนม ร้านขายของที่ระลึกเยอะๆ เลย

ปล.3 การรอรถเมล์ที่ป้าย ไม่ใช่ว่าจะรอที่ป้่ายไหนก็ได้นะคะ ต้องดูรายละเอียดที่ป้ายก่อนว่าป้ายนี้จะมีรถเมล์สายไหนผ่านบ้าง เพราะถ้าไม่มีแปลว่าเพื่อนๆ ต้องไปรอตรงป้ายอื่นที่เค้าระบุสายรถที่เราจะขึ้นจ้า

ปล.4 ถ้าเกิดหิวที่สนามบิน ขอเตือนว่าอย่าเข้าไปกินร้าน Crytal Jade นะคะ เพราะนอกจากแพงแล้ว มันไม่อร่อยอย่างแรง  เสียดายตังค์มาก!!!

ถึงแล้วสนามบิน

อย่างที่ส้มบอกไปก่อนหน้านี้ว่าส้มภูมิใจกับทริปนี้มากเลย เพราะว่าส้มวางแผนเองทุกอย่าง แล้วก็ได้มาเที่ยวอย่างที่เรากำหนดไว้ ถึงแม้จะมีหลงบ้าง พลาดอะไรไปบ้าง แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ามากค่ะ เพราะมันได้สร้างความมั่นใจให้เรากล้าที่จะ Backpack ไปเที่ยวที่อื่นๆ ต่อ งานนี้มาแล้วได้หลายอารมณ์มากๆ ทั้งเหนื่อย เมื่อย ล้า ท้อ (เดินจนท้อ) และที่ส้มเขียนหัวข้อว่า “เที่ยวต่างประเทศง่ายๆ แบบสบายกระเป๋า” เพราะว่าส้มใช้เงินในการเที่ยวต่างประเทศครั้งนี้แค่ 13,000 บาท/คน ซึ่งถูกกว่าซื้อทัวร์ราคาถูกอีกนะคะ

ก็อย่างที่เห็นล่ะค่ะว่าส้มไม่ได้ช็อปปิ้งอะไรเลย แค่ใช้เวลาไปกับจุดท่องเที่ยวสำคัญๆ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เสียค่าเข้า ส่วนค่ากินก็มีหรูบ้าง ธรรมดาบ้าง ปนๆ กันไป ไม่ต้องประหยัดถึงขั้นกินแต่ของถูกที่เราไม่ได้อยากจะกิน จริงๆ ส้มอยากนั่งเรือข้ามไปเที่ยวฝั่งมาเก๊าด้วย แต่เวลาไม่ได้จริงๆ ถ้าใครมีเวลาซัก 4 วันนี่ข้ามไปได้สบายเลยค่ะ ไปนอนที่นั่นซักคืน เที่ยวเวเนเชี่ยน เข้ากาสิโนเสี่ยงโชคแบบขำๆ ดูค่ะ

ก่อนที่ส้มจะได้มาที่นี่ก็คิดว่าเกาะแห่งนี้ไม่น่าจะมีอะไรเที่ยวมากนัก แต่จริงๆ มีเยอะค่ะ แถมหลากหลายแนวด้วย ส้มยังมีอีกหลายที่ที่พลาดไม่ได้ไปเพราะเวลาไม่พอ แต่ส้มขอแนะนำไว้เป็นแนวทางสำหรับเพื่อนๆ ที่อยากเที่ยวเพิ่มเติมจากที่ส้มไปแล้วกันนะคะ

1. ซื้อ แพ็คเกจ Big Bus Tour (รถรางคันสีแดง) มันจะพาเราชมเมืองฮ่องกงแบบทั่วถึงมากเลยล่ะค่ะ

2. เดินชมเส้นทางย่านเมืองเก่า เราจะได้เห็นวัดวาอาราม ชุมชนเก่าแก่ สถาปัตยกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย

หากรีวิวในครั้งนี้มีข้อมูลผิดพลาด หรือขาดตกบกพร่องยังไงต้องขอโทษเพื่อนๆ ด้วยนะคะ แล้วส้มจะพัฒนาฝีมือการเขียนให้เก่งๆ กว่านี้ หากมีทริปใหม่ๆ ส้มจะมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ บ๊ะบาย ^___^

ลิ๊งค์ Part 1 https://www.i-som.com/?p=1381

ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ www.facebook.com/ISomThailand

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น