“Boutique raft Resort” เย็นสบายกับสายน้ำแคว นอนแพที่กาญจนบุรี

On สิงหาคม 30, 2014 by admin

1 ใน 5 ที่พักสุดประทับใจของส้ม ต้องยกให้ “Boutique raft Resort” (บูติค ราฟท์ รีสอร์ท) เพราะให้ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ได้นอนบนแพแสนสวยริมแม่น้ำแควน้อย อีกทั้งบรรยากาศที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติ อากาศที่สดชื่น เลยได้สูดลมหายใจให้เต็มปอดซักที หากอยากให้วันหยุดของคุณพิเศษมากยิ่งขึ้น ส้มเชื่อว่าการเลือกที่นี่เป็นจุดหมายในการพักผ่อนจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนค่ะ

ก่อนไปถึงที่พักส้มขอพาเพื่อนๆ แวะไปไหว้พระที่ “วัดถ้ำเสือ” กันก่อนนะคะ วัดนี้ตั้งอยู่อำเภอท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ให้ขับไปทางถนนเขื่อนแม่กลอง ระหว่างทางมีป้ายบอกเป็นระยะๆ เส้นทางมุ่งหน้าไปวัดเราจะได้ชมวิวริมเขื่อน และแวะซื้อผักผลไม้ที่ชาวบ้านปลูกแล้วนำมาขายหน้าบ้านได้ด้วยนะคะ

ขออนุญาตนำภาพแผนที่วัดของแอดมินชื่อ “หล่อลื่น”  จาก pantip.com มาประกอบในรีวิวนี้ด้วยนะคะ (ขอบคุณมากค่ะ)


เมื่อมาถึงวัดก็เร่งหาที่จอดรถ พอเห็นจำนวนรถยิ่งทำให้รู้ว่าวัดนี้เป็นที่นิยมจริงๆ ค่ะ ทั้งรถส่วนตัวและรถทัวร์พานักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวเต็มไปหมด สำหรับเส้นทางขึ้นไปกราบพระพุทธรูปด้านบนมีให้เลือก 2 แบบ คือ 1.อึดหน่อยให้เดินขึ้นบันไดร้อยกว่าขั้น หรือ 2.ขอนั่งสบายๆ แบบไม่เสียเหงื่อให้ขึ้นรถรางแบบส้มได้เลยจ้า

มาวัดถ้้ำเสือ ก็ต้องมีเสือมารอต้อนรับ

นั่งรถรางขึ้นไปสบายใจจัง

เมื่อขึ้นมาด้านบนเราจะพบกับพระพุทธรูปปางประทานพรองค์ใหญ่ ผู้คนมากมายต่างมากราบไว้ขอพรหรือไม่ก็อดไม่ได้ที่จะกดชัตเตอร์เพื่อบันทึกภาพแห่งความประทับใจไว้ เพื่อนๆ คนไหนอยากได้ภาพองค์พระในมุมสูง สามารถขึ้นไปบนอาคารที่ประดิษฐานพระธาตุ เพื่อถ่ายภาพได้ได้นะคะ

พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี

รอบๆ วัดถ้ำเสือเป็นทุ่งนาทั้งนั้นเลย

ขึ้นไปไหว้พระธาตุ


ไหว้พระเสร็จแล้วก็ได้เวลาไปรับประทานอาหาร เราเลือก “ครัวชุกโดน” ทั้งผัดฉ่า , ต้มยำปลาคัง , กบทอดกระเทียมพริกไทย และอีกหลายอย่าง รสชาติดีทุกจานเลยค่ะ ราคาก็ไม่แพงด้วย แต่วันที่ไปเป็นช่วงวันหยุดลูกค้าค่อนข้างเยอะ ส้มคิดว่าถ้าโทรไปจองโต๊ะไว้ก่อนก็ดีนะคะ เราจะได้ไม่ต้องไปต้องเล่นเกมส์เก้าอี้ดนตรีกับใครเค้าน่ะค่ะ (ถึงแม้สั่งหลายอย่างแต่ถ่ายภาพไม่ทันจริงๆ ค่ะ ความหิวมันทำให้หน้ามืดตามัว เสิร์ฟปุ๊บอาหารอันตรธานหายไปปั๊บเลยจ้า)

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://century.bloggang.com


ทานข้าวอิ่มแล้วก็ไปเที่ยว “พร้อมมิตรสตูดิโอ” สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร” ตอนที่ส้มไปน่าจะใกล้ยกเลิกการให้นักท่องเที่ยวเข้าชมแล้วมั้งคะ สถานที่ถูกปล่อยทิ้งและดูทรุดโทรมมากๆ ไม่คุ้มกับค่าตั๋วคนละ 100 บาทเอาซะเลย… ในเมื่อตอนนี้เข้าชมไม่ได้แล้ว ส้มขออนุญาตข้ามข้อมูลที่นี่ไปเลยแล้วกันนะคะ

มาถึงจุดหมายปลายทางไฮไลน์ของรีวิวนี้กันแล้วล่ะค่ะ Boutique raft Resort” (บูติค ราฟท์ รีสอร์ท) รีสอร์ทริมแม่น้ำแควน้อยที่ตกแต่งสไตล์บูติคท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น ตั้งอยู่ที่อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี สามารถขับรถไปตามทางหลวงหมายเลข 323 (กาญจนบุรี-สังขละบุรี) ทางเข้าอยู่ในซอยด้านซ้ายมือก่อนถึงน้ำตกไทรโยคน้อยไม่กี่กิโลเมตรค่ะ ระหว่างทางมีป้ายบอกเรื่อยๆ พอเห็นป้ายรีสอร์ทแล้วรีบเลี้ยวเข้ามาเลยนะคะ

แผนที่ บูติค ราฟท์ รีสอร์ท


ห้องพักมีทั้งหมด 2 ประเภทคือ ห้องพักในอาคารและแพพัก ทั้งรีสอร์ทมีประมาณ 12 ห้องเองค่ะ ส้มจองผ่านเว็บไซต์ Agoda.com ก่อนหน้านี้ตั้งใจโทรไปจองผ่านรีสอร์ท แต่พนักงานแนะนำให้จองผ่าน Agoda ดีกว่า เพราะมีส่วนลดให้ด้วย แหม! ได้ยินเรื่องส่วนลดไม่ได้ รีบเข้าไปเช็คราคาในเว็บไซต์โดยพลัน สรุปราคาถูกกว่าจองกับรีสอร์ทจริงๆ ส้มเลยจองห้องแบบแพพักทั้งหมด 3 ห้อง (ห้องละ 2 คน พร้อมอาหารเช้า) ได้ลดราคาห้องละประมาณ 500 บาท ชำระเงินผ่านบัตรเครดิตแล้วทางเว็บจะส่งใบจองมาให้เราทางอีเมล เพียงแค่ปริ๊นเอกสารนั้นไปยื่นตอน Check-in ก็เรียบร้อยแล้วจ้า

ปริ๊นเอกสารตัวนี้ไปยื่นที่เคาน์เตอร์ Check-in ได้เลยจ้า

มาถูกที่แน่นอน

ติดต่อตรงนี้เลยจ้า

พอเช็คอินเรียบร้อยก็มีพนักงานมาช่วยยกกระเป๋าสัมภาระไปเก็บให้ที่ห้องค่ะ สำหรับบันไดทางลงแพอาจจะเดินลำบากซักหน่อยนะคะ เพราะบันไดมันค่อนข้างเล็กน่ะค่ะ ท่านที่พาผู้ใหญ่ไปควรช่วยประคองท่านด้วยนะคะ

บันไดทางลงแพแอบชันใช้ได้เลยค่ะ

เรือนแพใหญ่ 1 แพแบ่งได้ประมาณ 3 ห้องค่ะ โครงสร้างหลักคือไม้ค่ะ ภายในตกแต่งโทนสีน้ำตาลทำให้รู้สึกอบอุ่น แต่ละห้องมีขนาดใหญ่ทีเดียว สิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นแอร์ , ตู้เสื้อผ้า , เครื่องทำน้ำอุ่น , สัญญาณ WIFI จะขาดก็แต่ “โทรทัศน์” นี่แหละค่ะ ที่ไม่มีในห้อง ถ้าอยากดูต้องไปที่ล็อบบี้อย่างเดียว เรียกว่าเงียบสงบกันให้สุดๆ ไปเลย

เรือนแพ…กรี๊ด ๆ ถึงแล้ว

เปิดประตูมาก็ประทับใจเลย (รูปจากเว็บไซต์รีสอร์ท)

เตียงใหญ่ๆ นอนกลิ้งได้สบายๆ

ถึีงจะอยู่บนแพ แต่ห้องน้ำก็ไม่กระโหลกกะลานะจ๊ะ

สิ่งที่ประทับใจมากคือมุมนั่งพักผ่อนตรงระเบียงริมน้ำ จะเรียกริมน้ำก็ไม่ถูกซะทีเดียว ต้องเรียกว่า “ระเบียงเหนือน้ำ” เพื่อนๆ จะนั่งชมวิวบนเก้าอี้หวายหรือนั่งลงกับพื้นแล้วเอาเท้าแช่น้ำเย็นๆ ให้ฟินเล่นก็ไม่มีใครว่า ระเบียงตรงนี้เราสามารถลงไปเล่นน้ำได้ด้วยนะคะ แต่วันที่ส้มไปน้ำค่อนข้างเชี่ยวจึงลงไปเล่นไม่ได้ค่ะ อดเบย (T_T)

นั่งอยู่ตรงนี้…ชั่งมีความสุขจริงๆ

วันนี้น้ำเชี่ยวทำได้แค่ไปยืนเฉยๆ ว่ายน้ำไม่ได้นะจ๊ะ

ใช่จะมีแต่ข้อดีนะคะ ข้อเสียของที่นี่สำหรับส้มมีอยู่ 2 อย่าง คือ ข้อ 1. การพักอยู่บนแพแบบนี้ทำให้รู้สึกถึงความโคลงเคลงพอสมควร เวลาเรือขับผ่านยิ่งไปกันใหญ่เลยค่ะ แรกๆ ไม่ค่อยชินเวียนหัวบ้างเหมือนกัน แต่พอปรับตัวได้ก็ไม่มีปัญหาค่ะ ส่วนข้อ 2. คือห้องไม่ค่อยเก็บเสียงค่ะ ตอนกลางคืนเงียบๆ ห้องข้างๆ คุยอะไรได้ยินชัดแจ๋ว ที่พีคสุดคือตอนกดชักโครก อื้อหื้อ!!! เสียงนี่เซอร์ราวด์มั่กๆ (><”) สำหรับคนที่นอนยาก ตื่นง่าย อาจไม่ถูกโฉลกกับแพนี้ก็ได้ค่ะ

เว็บไซต์รีสอร์ท

http://www.boutiqueraft-riverkwai.com

เรือขับผ่านที่ แพโยกกันมันส์เลยพะยะค่ะ

สำรวจห้องพักพอประมาณแล้ว ไปสำรวจรอบๆ รีสอร์ทกันบ้างดีกว่าค่ะ ข้อดีของที่นี่นอกจากความเงียบสงบที่ส้มชอบแล้ว อีกอย่างที่ปลื้มคือความใกล้ชิดกับธรรมชาติค่ะ ทั้งต้นไม้ สวน แม้แต่สระว่ายน้ำพอเห็นแล้วอยากกระโดดลงไปเล่นมากๆ เพราะมันเป็นน้ำที่ไหลจากแม่น้ำ แค่เอาเท้าลงไปแช่ยังสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่เย็นเจี๊ยบเลยล่ะค่ะ

ร่มรื่นมากๆ

มุมนั่งเล่นแสนเก๋

สระว่ายน้ำแห่งนี้มีดีที่เย็นเจี๊ยบ..ใกล้ชิดกับธรรมชาติกับสุดๆ ไปเลย

เมื่อก่อนสะพานนี้สามารถข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้นะคะ แต่ชาวบ้านคงหันไปใช้ถนนที่ตัดผ่านไปฝั่งโน่นแทนแล้ว สะพานสายนี้จึงถูกปล่อยทิ้งไว้ ถึงแม้จะดูโทรมขนาดนี้ แต่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบนะคะ

สะพานแม้เก่าแต่มีเสน่ห์

อาหารค่ำเราเลือกทานที่โรงแรมค่ะ รสชาติใช้ได้ ที่นั่งกว้างขวาง (ถึงแม้ยุงจะดุไปหน่อยก็ตาม) ราคาอาหารบางอย่างแพงกว่าข้างนอก เช่น แกงเห็นโคนป่า เป็นต้น ทานเสร็จตั้งแต่ทุ่มกว่าๆ ก็กลับห้องแล้วค่ะ คนที่อยู่ในเมืองกรุงอย่างเราอาจรู้สึกไม่ชิน เพราะกว่าจะฝ่ารถติดกลับบ้าน กินข้าว ดูละคร ตอนล้มตัวลงนอนก็ปาไปเที่ยงคืนซะแล้ว แต่นี่ 2 ทุ่มเอง ส้มจึงขอแนะนำให้เพื่อนๆ พกหนังสือเล่มโปรดที่ไม่มีเวลาอ่านที่บ้าน มาอ่านที่นี่ดูนะคะ เผลอๆ ความเงียบสงบและเวลาที่มีเหลือเฟืออาจทำให้อ่านแบบม้วนเดียวจบก็ได้

หิวจัดถ่ายภาพอาหารไม่ทัน ได้มา 2 ภาพถ้วน อิอิ

วันนี้ตื่นมาสูดอากาศยามเช้าตั้งแต่ 7 โมง เดินออกมาที่ระเบียง… บร๊ะเจ้าโจ๊ก!!! นี่ความฝันรึเปล่าเนี๊ยะ ทำไมภาพตรงหน้ามันชวนฝันขนาดนี้ หมอกจางๆ กับอากาศเย็นๆ ถ้าคะแนนมีร้อยให้ร้อย มีพันให้พันเลยอ่ะ ลืมตาขึ้นมาได้เห็นสิ่งสวยงามแบบนี้ถือเป็นรางวัลของวันนี้แล้วล่ะค่ะ

หมอกจางๆ กับบรรยากาศที่สดชื่นยามเช้า เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม

พระอาทิตย์กำลังขึ้น

เรามาทานอาหารเช้าบริเวณเดียวกับที่ทานอาหารค่ำเมื่อคืนค่ะ มีทั้งข้าวต้มหมู แฮม ไข่ดาว ไส้กรอก น้ำส้มคั้น และผลไม้ค่ะ ส้มเบิ้ลข้าวต้มไป 2 ชามเลยจ้า อิ่มแปร๊ สบ๊ายสบาย

อาหารมีหลายอย่างพอสมควร รสชาติดีทีเดียวค่ะ

มุมทานข้าวเช้าของเรา

ทานด้วยกันมั้ยคะ

หลังทานข้าวเช้าแล้วครอบครัวเรามีกิจกรรมขี่ช้างและล่องแพรออยู่ค่ะ สามารถซื้อแพ็คเกจได้จากโรงแรมในราคา 700 บาท/คน ใช้เวลาขี่ช้าง 30 นาที-ล่องแพ 45 นาที พอถึงช่วงนัดหมายจะมีคนจากปางช้างขับเรือมารับเพื่อเริ่มกิจกรรมแรกคือขี่ช้าง อันนี้ส้มว่าไม่ค่อยคุ้มกับราคาเลย เส้นทางที่ให้เราขี่ช้างมันไม่ใช่วิวธรรมชาติสวยๆ แต่เป็นไร่ข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวเสร็จแล้วอะไรเทือกนั้น (เคยไปนั่งช้างที่สังขละบุรี อันนั้นพาเข้าป่า ลุยแม่น้ำเลยจ้า)

เรือมารับที่รีสอร์ทค่ะ แอบซิ่งนะเนี๊ยะ

ถึงปางช้างแล้ว

ก่อนไปนั่งเจ้าช้าง ขอเพิ่มพลังให้มันก่อนนะ

ช้างพาบุก

ส่วนการล่องแพ ส้มเลือกแบบมีที่นั่งให้ผู้ใหญ่ พ่อแม่จะได้นั่งสบายๆ ค่ะ คนขับพาเรานั่งเรือไปที่ต้นน้ำ เพื่อส่งที่แพและเริ่มล่องมาจากจุดนั้น ระหว่างทางเห็นรีสอร์ทและแพพักหลายแห่ง แต่เท่าที่ดู บูติค ราฟท์ รีสอร์ท ที่พักของเราสวยสุดแล้วค่ะ (พี่สาวเราคอนเฟิร์ม อิอิ)

ลักษณะแพที่นั่งค่ะ

ล่องเรือเสร็จก็ได้เวลา Check-out มองนาฬิกายังพอมีเวลาเหลือ เลยไปเที่ยว “ถ้ำละว้า กันต่อ ถ้ำมีขนาดใหญ่มากมีเส้นทางให้เดินดูหินงอกหินย้อยด้วย จริงๆ หินมีความสวยและขนาดใหญ่ทีเดียวค่ะ แต่ด้วยการจัดแสดงที่ไม่น่าสนใจ จึงทำให้หินเหล่านั้นดูธรรมดากว่าที่ควรจะเป็น แอบเสียดายแทนความสวยงามของมันจัง

จ่ายค่าเข้าบริเวณนี้ก่อนนะคะ

ป้ายบอกที่มาของถ้ำละว้า

ทางขึ้นโหดอยู่ค่ะ ทำเอาหอบเลย

ด้านในถ้ำ..หินงอก หินย้อยขนาดใหญ่ (ถ้ำกว้างมาก)

ระหว่างทางกลับกรุงเทพเราแวะทานอาหารเที่ยงที่ “ครัวผักหวานบ้าน ไร่นฤบดินทร์” ที่ติดท็อปชาร์ทความอร่อย แค่ชื่อก็รู้แล้วว่าเค้าเด่นเรื่องอะไร เมนูส่วนใหญ่มีผักหวานบ้านเป็นวัตถุดิบหลัก อาหารอร่อยทุกจานเลยค่ะ (คือชอบทานผักเป็นทุนอยู่แล้วด้วยน่ะค่ะ) ทริปนี้ดีใจจังได้ทานอาหารอร่อยทุกมื้อเลย คนจัดทริปอย่างเราก็โล่งใจที่วางแผนพาที่บ้านมาทานแล้วไม่ผิดหวัง เย้ๆ

การไปพักผ่อนที่กาญจนบุรีครั้งนี้ ไม่ได้อัดแน่นสถานที่ท่องเที่ยวมากนัก เพราะเราเน้นการพักผ่อนจริงๆ ชีวิตในวันปกติก็รีบเร่งมากพอแล้ว การไปเที่ยวเลยขอใช้ชีวิตแบบช้าๆ ดูบ้าง มันเหมือนพาร่างกายมาชาร์จแบตให้เต็ม เพื่อพร้อมลุยกับงานตรงหน้าอีกครั้ง หากเพื่อนๆ เหนื่อย ล้า อยากหาที่พักผ่อนส้มคิดว่า บูติค ราฟท์ รีสอร์ท สามารถตอบโจทย์ทุกคนได้ไม่ยากนักค่ะ หากรีวิวนี้มีข้อมูลใดขาดตกบกพร่องส้มต้องขอโทษด้วยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้านะคะ บ๊ายบาย

 

ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ www.facebook.com/ISomThailand

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น