แบกกระเป๋าท่องไปในดินแดนเมอร์ไลออน (Part 2)

On สิงหาคม 18, 2014 by admin

ต้องขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านตอนที่ 2 ของการไปเที่ยวสิงคโปร์ด้วยตัวเองในแบบฉบับของส้มนะคะ ตอนนี้ข้อมูลและรูปเยอะมากกว่าตอนที่แล้วอีกค่ะ เพราะว่าเราจะได้ไปเที่ยว-ไปกินหลายที่เลย ไม่ว่าจะเป็น Universal Studios , สำรวจของฝากย่าน China Town , กินเมนูฮอต ปูผัดพริก , ช้อปปิ้งที่ห้างทากาชิมาย่า ใครที่วางแผนจะไปสถานที่เหล่านี้ ไม่ควรพลาด..ถ้างั้นก็ตามมาได้เลยจ้า

ลุยกันเลยค่ะทุกคน

 

วันที่สาม : มื้อเช้ากับบะกุ๊ดเต๋ , สนุกสุดเหวี่ยงที่ Universal Studios , ดูปลา S.E.A. Aquarium , กินปูตัวโตที่ Jumbo

Song Fa Bak Kut The

วันนี้สันนิษฐานว่าต้องใช้พละกำลังอย่างมาก เราไม่ควรปล่อยให้ท้องว่างนะคะ ส้มขอพรีเซ็นต์ร้านบะกุ๊ดเต๋ที่โด่งดังและมีสาขามากมายในสิงคโปร์ ร้านนี้มีนามว่า “Song Fa Bak Kut The” น้ำซุปและซี่โครงหมูนุ่มๆ ใช้เวลาเคี่ยวนานหลายชั่วโมง จนได้ซุปสีเหลืองทองรสกลมกล่อมมาให้เหล่านักชิมได้ลิ้มลองจนติดใจค่ะ (อย่าเพิ่งคิดว่ารายการเชฟกระทะเหล็กนะคะ 555)

บะกุ๊ดเต๋ที่นี่มีหลายแบบ ทั้งซี่โครงและเครื่องในหมู วันนี้ส้มเลือกซี่โครงหมูแบบธรรมดา ชามละ 6.50 SGD และพรีเมี่ยม ชามละ 9 SGD ทำไมต้องเลือกซี่โครงหมูทั้งสองแบบ เพราะว่าส้มไม่ชอบกินเครื่องใน และอีกอย่างคืออยากรู้ว่าไอ้ซี่โครงหมูพรีเมี่ยมมันเด็ดกว่ายังไง บวกกับเมนูแก้เลี่ยนอย่างคะน้าผัดน้ำมันหอย จานละ 3.50 SGD

พอซดน้ำซุปเข้าไปคำแรก ปลื้มปริ่มมากค่ะ รสมันละมุนไม่ฉุดเครื่องเทศแบบบ้านเรา แล้วความที่เป็นซุปใสยิ่งทำให้ซดได้เรื่อยๆ ส่วนซี่โครงทั้งสองแบบ พรีเมี่ยมอร่อยกว่าจริงๆ นอกจากไซส์ใหญ่กว่าแล้วยังเนื้อนุ่มกว่าอีกด้วยค่ะ ส้มมานั่งทานวันธรรมดาตอนเช้าลูกค้ายังไม่เยอะ วันต่อมามีโอกาสเดินผ่านช่วงเย็น (วันหยุด) เห็นคนต่อคิวยาวมากไม่ต่ำกว่า 20-30 คนเลยค่ะ ส่วนค่าเสียหายมื้อนี้ก็ 22.8 SGD (ที่ร้านมีผงบ๊ะกุ๊ดเต๋สำเร็จรูปขายด้วยนะคะ ราคากล่องละ 22 SGD)

การเดินทางไปร้าน Song Fa Bak Kut The : นั่ง MRT ลงที่สถานี Clark Quay ทางออก E ร้านตั้งอยู่อีกฝั่งถนนตรงสี่แยกพอดี แค่เดินข้ามสะพานลอยไปนิดเดียวก็ถึงค่ะ)

ลิ๊งค์ของร้าน Song Fa Bak Kut The

http://www.songfa.com.sg/

หน้าร้านในยามเช้า (ลูกค้ายังไม่แน่นเท่าไหร่)

เมนูอาหาร…เลือกได้ตามชอบเลยค่ะ

ระหว่างรอขอจิบชาไปพลางๆ ก่อน

มาแล้วสิ่งที่รอคอย “บะกุ๊ดเต๋” แสนอร่อย (ชามนี้เป็นแบบธรรมดา)

ชามนี้เป็นซี่โครงแบบพรีเมี่ยม ชิ้นใหญ่ เนื้อนุ่มกว่าแบบธรรมดาจริงๆ ค่ะ

คะน้าผัดน้ำมันหอยซักจานมั้ยคะ

ใครติดใจน้ำซุปที่แสนหวานหอม ก็ซื้อผงบะกุ๊ดเต๋ไปลองทำที่บ้านได้นะคะ (กล่องละ 22 SGD)

 

Universal Studios Singapore

Universal Studios (ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ) สวนสนุกที่หลายคนใฝ่ฝันขอมาพิสูจน์ความมันส์ของเครื่องเล่นต่างๆ ให้ได้ซักครั้งหนึ่ง ในเอเชียมี Universal Studios เพียง 2 แห่ง คือ Universal Studios Japan และอีกแห่ง Universal Studios Singapore (USS) นั่นเอง เมื่อมาถึงที่จะให้พลาดได้ไงจริงมั้ยคะ

USS ตั้งอยู่บนเกาะเซ็นโตซ่าหรือ Resorts World Sentosa ซึ่งบนเกาะมีกิจกรรมและสถานที่น่าสนใจมากมาย เช่น สวนน้ำ, โรงแรม, ชายหาด, ร้านอาหาร หรือแม้แต่คาสิโน ส่วนวิธีการเดินทางมายังเกาะเซ็นโตซ่า ให้เพื่อนๆ นั่ง MTR มาลงที่สถานี HarbourFront (CC29/NE1) พอลงจากสถานีให้เดินตามป้ายไปทาง VivoCity หรือ Sentosa Express (Monorail) Level 3 – VivoCity ค่ะ (ภายในห้างมีร้านค้าเต็มไปหมดเลยค่ะ จะฝากท้องที่นี่ก็ดีนะ เพราะใน Universal ราคาอาหารแพงมาก)

เมื่อเข้ามาในตัวห้างให้เดินขึ้นบันไดเลื่อนหรือกดลิฟท์มาที่ชั้น 3 เราจะเห็นจุดขายตั๋ว “Sentosa Express” สำหรับรถไฟรางเดี่ยว (Monorail) ที่ใช้ข้ามฝั่งไปเกาะเซ็นโตซ่า ที่จุดขายตั๋วนี้มีตั๋วประเภทเหมากิจกรรมหลายๆ อย่าง เพื่อนๆ ก็เลือกดูว่าสนใจ Route ไหนก็ซื้อที่เคาน์เตอร์นี้ได้เลยค่ะ (ตั๋วเหมาราคาจะถูกกว่าซื้อแยกตามกิจกรรม)

แต่ถ้าต้องการข้ามไปที่ USS อย่างเดียวแบบส้มก็ไม่ต้องซื้อตั๋วเหมานะคะ ไว้ซื้อเฉพาะตั๋วเข้า USS อย่างเดียวก็พอค่ะ แล้วเพื่อนๆ คนไหนมีบัตร EZ-Link ก็ไม่ต้องต่อคิวซื้อตั๋ว Sentosa Express ด้วยค่ะ แค่แตะบัตรตรงประตูผ่านทางก็เข้าไปยืนรอ Monorail ได้เลย (ราคา Monorail เที่ยวละ 2 SGD/คน คนที่อยากข้ามไปด้วยกระเช้าลอยฟ้า อันนี้ส้มไม่มีข้อมูลจริงๆ ค่ะ ขอโทษด้วยฮ้าบบ)

ส้มแนะนำว่าให้เลือกมาเที่ยวในวันธรรมดานะคะ เพราะวันหยุดนักท่องเที่ยวจะเยอะกว่านี้หลายเท่า เราคงไม่อยากเสียเวลารอรถนาน แถมอาจต้องยืนต่อคิวเล่นเครื่องเล่นจนขาแข็งด้วยค่ะ

ลิ๊งค์ข้อมูลภายในเกาะ Sentosa

http://www.rwsentosa.com/

หากเงินใน EZ-Link หมด ก็สามารเต็มเงินผ่านตู้นี้ก่อนขึ้น MRT ได้นะคะ

นั่ง MRT ไปที่สถานี HarbourFront

มาถึงสถานี HarbourFront ให้เดินตามป้ายที่ไป  VivoCity หรือ Sentosa Express

ซื้อตั๋วที่เคาร์เตอร์ Sentosa Express แล้วก็ยืนรอ Monorail เพื่อข้ามไปฝั่งเกาะ Sentosa ได้เลย

ถ้าไป Universal ให้ลงสถานี WaterFront Station

ลงสถานี WaterFront Station แล้วก็เดินตามทางมาเรื่อยๆ เลยค่ะ (แอบแวะถ่ายรูปก่อน)

 

สำหรับตั๋วเข้า USS ราคา 74 SGD/คน แต่ถ้าไม่อยากต่อแถวรอคิวเล่นนานๆ เรามี Option เสริม เพียงแค่คุณซื้อตั๋ว “UNIVERSAL EXPRESS” ปัญหาการรอคิวนานก็จะหมดไป!! แต่ว่าต้องแลกกับราคา 30 SGD/คน คำนวณเป็นเงินไทย 2 บัตรรวมกันก็แค่ 2,600 บาทต่อคน….ปาดเหงื่อแป๊บ (>_<!)

ปล.1 ถ้าวางโปรแกรมแต่ละวันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนชัดเจนแล้ว แนะนำให้ซื้อตั๋ว Universal Studios หรือตั๋วอื่นๆ ล่วงหน้าได้ที่บริษัททัวร์ Sea Wheel Travel หรือ Seaview Travel ราคาถูกกว่าไปซื้อที่หน้า USS นะจ๊ะ (ทั้งสองบริษัทอยู่ในตึก Peoples Park Centre) / รูปใน Universal Studios ส่วนใหญ่มีแต่รูปตัวเอง ต้องขอโทษด้วยนะคะ คือไม่ค่อยได้ถ่ายภาพบรรยากาศเลย กลัวเพื่อนๆ จะเบื่อหน้า 555

มาถึงแล้ว Universal Studios Singapore

ต่อแถวซื้อบัตรเข้า USS ได้ที่บริเวณนี้ค่ะ

หน้าตาบัตรทั้ง 2 แบบค่ะ

ซื้อตั๋วเสร็จก็เข้าไปด้านในกันเลยค่ะ

 

เครื่องเล่นต่างๆ ภายใน USS

พอดีส้มไม่เคยไปเล่นสวนสนุก UNIVERSAL ที่ไหนมาก่อนเลย จึงไม่ทราบว่าแต่ละที่มีจุดเด่นอย่างไรบ้าง แต่สิ่งส้มรู้เมื่อได้มาเที่ยวที่นี่คือ USS มีพื้นที่ค่อนข้างเล็กกว่าที่คิดไว้ (น่าจะเล็กกว่าดรีมเวิล์ดบ้านเราเยอะพอสมควร) แต่แม้จะเล็กก็มีสิ่งดึงดูดให้เราต้องมายืนถ่ายรูปคู่ด้วยคือสัญลักษณ์ลูกโลกที่มีข้อความ UNIVERSAL เรียกว่าเป็นแลนด์มาร์กของทุกคนที่มาเยือนที่นี่จริงๆ ค่ะ ส้มก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่พลาดกับกิจกรรมนี้ 555

แต่สิ่งที่โดดเด่นของสวนสนุกคงหนีไม่พ้นเครื่องเล่นนานาชนิด ที่ให้ทั้งความตื่นเต้น หวาดกลัว และสนุกสุดเหวี่ยงไปพร้อมๆ กัน ก่อนที่เราจะไปต่อคิวเล่นเครื่องเล่นต่างๆ ด้านหน้า USS จะเจอเจ้า Minions (มินเนี่ยน) รอต้อนรับอยู่ เจ้าตัวอ้วนกลมสีเหลืองนี้เป็นที่รักของเด็กและผู้ใหญ่มาก มีคนต่อคิวรอถ่ายรูปกันเพียบเลยล่ะ สำหรับโซนเครื่องเล่นต่างๆ แบ่งออกเป็น 7 โซน เดี๋ยวส้มจะบอกไฮไลน์แต่ละโซนให้ฟังนะคะ

กรี๊ดๆๆๆ ได้เจอ Minions ด้วย…ขวัญใจของทุกวัยจริงๆ

ต่อแถวขอถ่ายรูปกับเจ้าตัวเหลืองด้วย

พร้อมลุยทุกเครื่องเล่นแล้วฮ้าบบบบ

 

– โซนนิวยอร์ก (New York Zone) โซนนี้ให้อารมณ์เหมือนเรากำลังเดินอยู่ในมหานครนิวยอร์ก ที่นี่มีโรงภาพยนตร์ที่ฉายหนังฮอลลีวู๊ด และร้านอาหารที่ตกแต่งสไตล์อเมริกันด้วย สิ่งที่ส้มแนะนำคือ LIGHTS! CAMERA! ACTION!” (ไลท์! คาเมร่า! แอ๊คชั่น!) การแสดงวิธีการสร้างฉากและสเปเชียลเอฟเฟคต่างๆ ของวงการภาพยนตร์ Hollywood สร้างโดย ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอซาวด์สเตจ 28 และสตีเว่น สปีลเบิร์ก ผู้กำกับชื่อดัง… ขอสปอยหน่อยว่ามันจะทำให้เพื่อนๆ ทึ่งและรู้สึกเหมือนเราเป็นตัวละครหนึ่งที่อยู่ในฉากเลยค่ะ ^^

รถตำรวจที่เห็นบ่อยในหนังฮอลลีวู๊ด

นี่เราอยู่ที่นิวยอร์คช่ายป่ะ

มาเล่นเครื่องเล่นแรกกัน…เริ่มจากเบาๆ ก่อน

ถึงไม่ได้เล่นเครื่องเล่น ก็เดินถ่ายรูปเพลินๆ ได้นะ

เข้าไปดูการแสดง LIGHTS! CAMERA! ACTION!


– โซนไซไฟซิตี้  (SCI-FI CITY Zone) โซนนี้มีเครื่องเล่นไฮไลน์ 2 อย่าง คือ รถไฟเหาะรางคู่ที่สูงที่สุดในโลก มีความสูงกว่า 42.5 เมตร แค่เงยหน้ามองขาก็สั่นแล้วค่ะ ดีนะไม่ถูกคุณแฟนลากไปเล่น เพราะเครื่องมันปิดปรับปรุงอยู่ เฮ้อ.. ค่อยยังชั่ว ส่วนเครื่องเล่นที่ส้มแนะนำว่าควรเล่น ต้องเล่น ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง คือ “TRANSFORMERS The Ride: The Ultimate 3D Battle” สำหรับส้มมันคือสิ่งที่สนุกที่สุดใน USS คือมันทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ในสงครามระหว่างเหล่าหุ่นยนต์ ทั้ง ออพติมัส บัมเบิลบี ฯลฯ มาหมด แนะนำว่าให้เพื่อนๆ นั่งแถวหน้าสุดนะคะ จะทำให้มันส์คูณ 2 ไปเลย เครื่องเล่นนี้ขอสปอยเท่านี้แล้วกัน เอาไว้ไปเล่นแล้วจะรู้ว่าทำไมส้มถึงบอกว่า “ห้ามพลาด”

บอกเลยว่าต้องเล่นนะคะ โซนนี้

บรรยากาศด้านในเครื่องเล่น TRANSFORMERS

นั่งหน้าเลย มันส์สุด


ออกมาก็เจอจุดขายของที่ระลึก มันยั่วยวนให้ซื้อนัก

ใครอยากเล่นแบบหวาดเสียว เชิญเครื่องเล่นนี้ค่ะ


โซนอียิปต์โบราณ (Ancient Egypt) เรื่องความอลังการด้านสถาปัตยกรรม ถือว่ายิ่งใหญ่สมเป็นอาณาจักรอียิปต์จริงๆ อาคารใหญ่สุดในโซนนั้นคือที่ตั้งของเครื่องเล่นที่มีชื่อว่า Revenge of the Mummy” เครื่องเล่นนี้ทำให้ส้มหวั่นใจว่าจะเล่นหรือไม่ ก็ในโบชัวร์เขียนแถบสีแดงว่ามันวิ่งเร็วมาก!!! คนที่เข้าไปเล่นห้ามนำสิ่งของเข้าไปเด็ดขาดต้องฝากไว้ที่ล็อกเกอร์ที่มีให้เช่าด้านหน้าอาคารเท่านั้น (ใช้ฟรีได้ถ้าไม่เกิน 15 หรือ 30 นาทีนี่แหละค่ะ)

คือนอกจากส้มเป็นโรคกลัวความสูงแล้ว ยังเป็นโรคกลัวความเร็วด้วยค่ะ รถไฟเหาะหรือแม้แต่บานาน่าโบ๊ทที่ขับเร็วๆ ยังไม่ค่อยชอบเลย แล้วนี่พี่แกเตือนซะขนาดนี้ จะหัวใจวายก่อนเล่นจบมั้ยนะ แต่ แต่ แต่…. ความกลัวเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเองค่ะ ถ้าเราไม่ลองจะรู้ได้ไงว่าสิ่งนั้นมันน่ากลัวจริงรึเปล่า ถ้าไม่เล่นก็นำข้อมูลมาเล่าให้ทุกคนฟังต่อไม่ได้ด้วย ในที่สุดก็เลือกที่จะเล่นเพราะใช้เวลาแค่ 3 นาที พอเข้าไปแล้วอยากเดินกลับ ใจมันหวิว ที่มันมืดๆ กลัวง่า (><) เอาฟ่ะ!! ถึงไหนถึงกัน พอเล่นเสร็จขอบอกว่า “ความกลัวไม่ใช่สิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง” ก็รถรางที่เราใช้เหาะเหินแบบขึ้นสูงๆ ดิ่งลงสุดๆ นั้นมันขับ “เร็วและกระชากมาก” ดีนะคะที่มันมืด (บวกกับเราหลับตาเกือบตลอด) ไม่งั้นคนไทยคงได้อ่านพาดหัวในหนังสือพิมพ์ว่า “สุดช็อก สาวไทยหัวใจวายตายคาเครื่องเล่นในยูนิเวอร์แซลสิงคโปร์” แล้วล่ะค่ะ (โซนนี้มีเครื่องเล่นแค่ 2 อย่าง อันที่เป็นรถรางพอได้เล่นแล้ว คิดว่าไม่น่าต่อคิวรอเล่นเลย คือมันธรรมดาเกิ๊น เพื่อนๆ สามารถเดินผ่านไปได้โดยไม่ต้องเสียใจเลยค่ะ)

เข้าสู่โซนอียิปต์โบราณ

เครื่องเล่นในโซนนี้นอกเหนือจากรถไฟเหาะในบรรยากาศอียิปต์

 

โซน The Lost World ใครชอบภาพยนตร์เรื่อง Jurassic Park ต้องชอบค่ะ ที่นี่มีรูปปั้นไดโนเสาร์เพียบเลย แต่โชคไม่ดีที่ดันอดเล่นเครื่องเล่นที่เป็นไฮไลน์ที่สุดในโซนนี้ นั่นคือ “Jurassic Park Rapids Adventure” เพราะมันพังในวันนั้นพอดี (ขอบคุณ!!!)  เครื่องเล่นนี้เป็นการล่องแก่งไปในดินแดนของเหล่าไดโนเสาร์ หลายคนตั้งใจมาเล่นแต่กลับต้องผิดหวังกลับไป (หากเล่นเครื่องเล่นนี้ต้องเตรียมเสื้อกันฝนไปด้วยนะคะ) จริงๆ ก็มีเครื่องเล่นชนิดอื่นให้บริการนะคะ เช่น Canopy Flyer (รถไฟห้อยขา) หรือ Dino-Sourin ที่เด็กๆ ชอบค่ะ และที่ส้มเสียดายเข้าไปอีกคืออดดู Water World” การแสดงฉากแอ็คชั่นทางน้ำของเหล่าสตั๊นแมนมืออาชีพ ส้มพลาดไม่ได้ชมเพราะมาไม่ทันรอบการแสดงของเขา พอวนกลับมาอีกทีเพื่อจะดูในรอบสุดท้าย แต่ดันเลยเวลามาไม่ถึง 5 นาที เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้เข้าซะแล้วล่ะค่ะ เพื่อนๆ คนไหนอยากดูต้องคำนวณเวลาดีๆ นะคะ ไม่อยากให้อดชมโชว์เด็ดๆ แบบส้ม มันจะไม่คุ้มค่าตั๋วน่ะค่ะ

Jurassic Park ข้ามาถึงแล้ว

อดเล่นเครื่องเล่นนี้ แงๆๆๆ (ไม่คุ้มค่าตั๋วเล้ย)

 

โซนปราสาท ฟาร์ ฟาร์ อเวย์ (Far Far Away) เข้าไปโซนนี้เหมือนอยู่ในการ์ตูนเทพนิยาย เพราะมีปราสาทแสนสวยหลังโตรอเราไปถ่ายรูปด้วย (กลับมาแล้วถึงรู้ว่าสามารถขึ้นไปถ่ายรูปด้านบนได้) ทีเด็ดของโซนนี้ มีสองอย่างคือ “Enchanted Airways” รถไฟเหาะแบบที่หวาดเสียวน้อยกว่าโซน SCI-FI CITY เยอะค่ะ และอีกอันนึงคือ Shrek 4-D Adventure” เราต้องเดินเข้าไปในปราสาทเพื่อชมภาพยนตร์ที่เพิ่มความสนุกในการชมภาพยนตร์มากยิ่งขึ้นในระบบ 4D ระหว่างรอชมภาพยนตร์เหล่านักท่องเที่ยวจะได้มีส่วนร่วมคุยกับเจ้าดองกี้ ลาในเรื่อง Shrek ในห้องรับแขก DONKEY LIVE ด้วย สำหรับภาพยนตร์ใช้เวลาไม่นานค่ะ แต่เวลารอคอยนี่นานทีเดียว

อยากเป็นเจ้าหญิง

ด้านใน Shrek 4-D Adventure

แต่ละโซนจะมีร้านอาหารที่ดีไซน์ให้เข้ากันธีม ส่วนนี้เป็นเมนูอาหารในโซน Far Far Away

จานนี้ 13.8 SGD ถ้าไม่หิวจริงๆ ไม่ซื้อแน่ๆ (โหดมากราคานี้)

– โซนมาดากัสก้า (Madagascar) โซนนี้เป็นเครื่องเล่นชิลๆ ไม่หวาดเสียวอะไรค่ะ เราจะได้ล่องเรือไปในดินแดนของเหล่าสัตว์ต่างๆ ที่อยู่ในภาพยนตร์เรื่อง Madagascar เชื่อว่าถ้าเด็กๆ ที่เข้าไปเล่นคงชอบน่าดู เพราะมีสัตว์น้อยใหญ่มาทักทาย แล้วยังมีเสียงเพลงให้เราได้ฟังแบบเพลินๆ ด้วยนะ

ใครดูการ์ตูนเรื่องมาดากัสก้า คงชอบโซนนี้น่าดู

 

โซนฮอลลีวู๊ด (Hollywood) โซนนี้เป็นโซนสุดท้ายแล้วค่ะ มีโรงละครบรอดเวย์ แถมด้วยร้านขายของที่ระลึกพวกตุ๊กตา , ร้านขนม-ลูกกวาดมากมายเลย ใครใจไม่แข็งพอส้มเชื่อว่ากระเป๋าแฟบแน่ๆ ค่ะ ถ้าอยากได้จริงๆ อย่าคำนวณเป็นเงินไทยนะคะ คุณจะหดหู่ขึ้นมาทันที 555

แวะซื้อขนมไปฝากคนที่รักได้นะจ๊ะ

ปล.2 สำหรับผู้ที่ซื้อบัตร UNIVERSAL EXPRESS สามารถเดินเข้าช่อง EXPRESS ในแต่ละเครื่องเล่นได้เลยนะคะ แต่บัตรนี้ 1 เครื่องเล่น ใช้ได้แค่ 1 ครั้ง หากจะเล่นรอบ 2 ต้องต่อคิวในแถวธรรมดาที่มนุษยชาติเยอะมาก! ถึงมันจะราคาแพงพอสมควร แต่แลกมาด้วยการได้เล่นเร็วขึ้น เยอะขึ้น ส้มว่าก็โออยู่นะ ก็เราไม่ได้มาเที่ยวแบบนี้บ่อยๆ ถ้ามัวต่อคิวรอนานๆ มีหวังเค้าจะปิดก่อนที่จะเล่นครบทุกอันน่ะค่ะ (เราจะรู้สึกว่าตั๋วซื้อมาไม่คุ้มทันที เมื่อเครื่องเล่นหลายอย่างปิดปรับปรุงแบบที่ส้มเจอ ฮืออออ)

S.E.A. Aquarium

การมาเที่ยว USS ส้มคิดว่าต้องมาแต่เช้าค่ะ เพราะจะได้เล่นหลายอย่างหน่อย แล้วถ้าสนุกสนานกับสวนสนุกเรียบร้อยแล้วแต่ยังพอมีเวลาเหลือ ส้มอยากให้เพื่อนๆ ลองไปเที่ยวที่ “S.E.A. Aquarium” ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม USS ที่นี่มีอควาเรียมใหญ่ที่สุดในโลก ทุกคนจะได้เห็นสัตว์น้ำนานาชนิด สีสันสวยงาม และบางสายพันธุ์อาจจะไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนด้วยนะคะ

ในตัวอาคารระหว่างทางเดินมาที่ S.E.A. Aquarium มีสิ่งน่าสนใจหลายอย่างค่ะ เช่น พิพิธภัณฑ์เรือเดินสมุทร (Marine Experiential Museum) ให้เราได้เรียนรู้เรื่องราวการขนส่งสินค้าจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังแอฟริกาและพื้นที่อื่นๆ ด้วย (อันนี้ชมฟรี) และยังมี Typhoon Theatre ที่ฉายภาพยนตร์แบบ 4D ด้วยนะ (อันนี้เสียเงินจ้า)

สำหรับค่าตั๋ว S.E.A. Aquarium ราคา 72 SGD/คน  แต่สามารถใช้ตั๋ว USS เป็นส่วนลดได้ 50 เปอร์เซ็นด้วยนะจ๊ะ ดังนั้น อย่าเผลอขยำตั๋ว USS ทิ้งล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน อิอิ

พิพิธภัณฑ์เรือเดินสมุทร

ตามป้ายนี้ไปเที่ยว S.E.A. Aquarium กัน

ว๊าว อลังการงานสร้าง

ปลาฉลามตัวเบิ้ม

ไข่ปลาฉลาม…ไม่เคยเห็นมาก่อน ตื่นเต้นมาก


ทานเมนูเด็ดประจำสิงคโปร์ที่ร้าน Jumbo Seafood Restaurant

บะกุ๊ดเต๋ 2 ชามเมื่อเช้านี้และของทอดนิดหน่อยใน USS มันถูกย่อยไปหมดเรียบร้อยแล้ว ก็เล่นเดินเยอะมาก อาหารยิ่งย่อยเร็ว เลยรีบนั่งรถกลับเข้าเมืองมาเพื่อหาของอร่อยๆ ทานเพิ่มพลังกันซักหน่อย

วันนี้เป็นวันครบรอบ 1 ปีของแต่งงานสำหรับส้มกับคุณสามีพอดีค่ะ แต่คู่เราไม่เน้นโรแมนติก (ไม่งั้นคงไม่เลือกมาฉลองที่ USS อ่ะเนอะ 555) วันนี้เลยขอทานอาหารที่ไม่ต้องมีพิธีรีตองเยอะ แต่ได้ทานเมนูอร่อยๆ ที่พิเศษกว่าปกติหน่อย แล้วอะไรล่ะที่เมื่อมาสิงคโปร์ต้องมาทาน นึกไปนึกมาก็ลงล็อกที่เมนู “ปูศรีลังกาผัดพริก” (Chilli crab) เมนูนี้ร้านไหนๆ ก็ขายกัน จะรู้ได้ไงว่าร้านไหนอร่อยสุด จากที่ส้มอ่านข้อมูลในอินเทอร์เน็ตหลายคนไปทานกันที่ร้าน No Signboard Seafood ตอนแรกส้มก็คิดจะไปทานร้านนี้ที่สาขา Vivo City Harbourfront เช่นกัน เพราะแค่ข้ามจากเกาะเซ็นโตซ่ามาก็ถึงแล้ว แต่ร้านเค้าตั้งอยู่ในห้างบรรยากาศมันเลยไม่ชิลเท่าไหร่ ในที่สุดส้มก็เลือกร้าน “Jumbo Seafood Restaurant” ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องเมนูปูผัดพริกไม่แพ้ใคร และยังอยู่ในย่าน Clarke Quay ที่รอบๆ เป็นร้านอาหาร นั่งกินดื่มแบบชิลๆ ตรงคอนเซ็ปที่วางไว้

ตอนแรกส้มตั้งใจไปทานที่สาขา Clarke quay แต่ว่าร้านนี้เป็นร้านดัง ลูกค้าเยอะมาก บวกกับส้มไม่ได้โทรจองไว้ก่อนจึงไม่มีที่นั่งค่ะ พนักงานแนะนำให้เราไปทานที่สาขา Boat Quay ไอ้เราก็ไม่อยากไปเพราะไม่รู้ว่าร้านจะดีเท่าสาขาดั้งเดิมรึเปล่า แต่ไม่มีทางเลือกก็เลยยอมไป ระยะทางจากสาขา Clarke quay ไปที่สาขา Boat Quay ไม่ไกลมากค่ะ พอมาถึงหน้าร้านจึงเห็นว่าที่นี่ความนิยมไม่ได้น้อยกว่าที่แรกเลย ลูกค้าเต็มทุกโต๊ะ ดีที่พนักงานจากสาขาแรกเค้าโทรมาจองโต๊ะไว้ให้เราระหว่างเราเดินมาที่ร้าน

บรรยากาศฝั่ง Clarke quay


การเดินทางมาร้าน Jumbo Seafood Restaurant สาขา  Boat Quay  ใช้เส้นทางเดียวกับร้านที่เราไปทานบะกุ๊ดเต๋เมื่อเช้าเลยค่ะ คือนั่ง MRT ลงที่สถานี Clark Quay ทางออก E ข้ามสะพานลอยไปทางร้าน Song Fa Bak Kut The จากนั้นลอดอุโมงค์ไปซัก 50 เมตร ร้านอยู่แถวทางออกอุโมงค์พอดีค่ะ

เดินมาร้าน Jumbo สาขา  Boat Quay ให้ลอดอุโมงค์นี้มาเลยค่ะ

 

จานแรกที่สั่งคือ “ปูผัดพริก” (Chilli crab) ราคาตามน้ำหนักค่ะ ตัวที่ส้มสั่งราคา 54.40 SGD ซึ่งมันค่อนข้างใหญ่มาก แต่เป็นพวกโลภอยากลองหลายอย่าง เลยสั่งข้าวผัดซีฟู๊ด , กบชุบแป้งทอด พอเริ่มกินไปได้ซักพักเท่านั้นแหละ ในสมองก็เลยด่าตัวเองทันทีว่า “ตูไม่น่าสั่งเยอะเล้ย มันกินม่ายหมด!!!”

ถึงเมนูจะชื่อปูผัดพริก แต่ไม่ได้เผ็ดอะไรมากนะคะ รสออกหวานมากกว่าแค่มีรสเผ็ดติดปลายลิ้นนิดหน่อย (รสชาติคล้ายผัดเปรี๊ยวหวานบ้านเรา แต่เข้มข้นและมีรสเผ็ดกว่า) คนไทยอย่างเราไม่ค่อยรู้สึกถึงความเผ็ดนั้นหรอกค่ะ 555

อุปกรณ์ในการทานปูที่ร้านมีให้ทุกโต๊ะ คือ ผ้ากันเปื้อนคนละผืน , ที่คีบปู เอาไว้กดเปลือกปูให้แตกจะได้แกะง่ายๆ , ช้อนเล็กๆ ที่เอาไว้แงะเนื้อปู และอีกอย่างคือน้ำชาผสมมะนาวฝานบางๆ เอาไว้ล้างมือค่ะ ถ้าเป็นคู่ที่เพิ่งมาเดทกันเป็นครั้งแรก อย่าไปกินเมนูนี้นะคะ เพราะมันต้องใช้มือ ใช้ปากแงะ แทะ ดึง น้ำซอสก็เปรอะเปื้อนมือเต็มไปหมด กลัวว่าคู่เดทอาจขอตัวหนีกลับบ้านก่อนทานปูหมดจานน่ะค่ะ

ส้มชอบเมนูปูผัดพริกมากเลยค่ะ ปูเนื้อแน่นและเยอะมาก ซอสหวานอมเปรี๊ยว มีเผ็ดนิดหน่อย แทะเพลินเกินห้ามใจเลยจ๊ะ ส่วนเมนูอื่นรสชาติเฉยๆ ค่ะ ไม่รู้ว่าเค้าทำไม่ดีหรือพี่นี้จุกกันแน่ แต่น่าจะเป็นอย่างหลังนะคะ 555 มื้อนี้จ่ายค่าเสียหายโหดสุดในบรรดาทุกมื้อที่ทานมา ด้วยราคา 117.82 SGD ถ้าคิดว่าเป็นประสบการณ์ก็คุ้มอยู่ อิ่มท้องด้วยนะ จริงจริ๊ง (เข้าข้างตัวเองสุดๆ)

หน้าร้าน Jumbo Seafood Restaurant

อุปกรณ์ในการรับประทานปู

ปูผัดพริกมาแล้วจ้า (ราคาตามน้ำหนักปู จานนี้ 54.40 SGD)

ข้าวผัดซีฟู๊ด จานใหญ่มาก กินได้ 3-4 คน (16 SGD)


กบทอด แป้งไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่

 

วันนี้เที่ยวสนุกแบบสุดเหวี่ยง ได้ย้อนวัยเป็นเด็ก กรี๊ดเสียงดังๆ ที่ Universal , ทานอาหารที่อยากทาน และอยู่กับคนที่รัก เท่านี้วันครบรอบแต่งงานก็สุดวิเศษแล้วค่ะ (อุ้ย!! พูดเอง เขิลเองง่า)

ขอเม้าส์ตัวเองนิดหนึ่งค่ะ ส้มมาอยู่ที่สิงคโปร์แค่ 5 วัน น้ำหนักขึ้นบานเลย จะอะไรล่ะคะ ก็อาหารแต่ละมื้อมันเลี่ยน ส้มเลยทานโค้กแก้เลี่ยนทุกมื้อ ผลคืออืดเบย (T_T)

ลิ๊งค์ข้อมูลร้าน

http://www.jumboseafood.com.sg/

 

วันที่สี่ : สำรวจถนนแห่งการช้อปปิ้ง Orchard Road

พูดถึงย่านช้อปปิ้งที่มีทุกสิ่งให้เลือกสรร ทุกคนต้องนึกถึง “สำเพ็ง” เฮ้ย!! นี่มันสิงคโปร์เฟ้ย มันก็ต้องเป็น “Orchard Road” สิ มาเมืองสิงโตทะเลทั้งที ห้ามพลาดเด็ดขาด แม้แต่ไอ้คนที่ไม่สันทัดเรื่องของแบรนด์เนมและการช้อปปิ้งอย่างส้ม ก็จำเป็นต้องมา เดี๋ยวเค้าจะหาว่ามาไม่ถึงสิงคโปร์เนอะ

ตลอดความยาวกว่า 2 กิโลเมตรบนถนน Orchard เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า มีทั้งห้างเน้นเฉพาะสินค้าแบรนด์เนม เช่น “Paragon” หรือห้างที่มีของราคาเบาลงมาหน่อย อันนี้ก็สุดแล้วแต่เพื่อนๆ เลยค่ะ ว่าชอบแบบไหน คนที่ตั้งใจมาซื้อและไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน ถนนเส้นนี้คือสวรรค์ดีๆ นี่เองค่ะ เข้าตึกนั้น ออกตึกนี้ จ่ายเพลินกันเลยล่ะพี่น้อง

แต่ห้างที่ส้มขอแนะนำคือ “ห้างทากาชิมาย่า” (Takashimaya) ตึกสีน้ำตาลตั้งโดดเด่นอยู่บนถนนแห่งการช้อปปิ้งนี้ คือห้างสรรพสินค้าสัญชาติญี่ปุ่น มีทั้งร้านหนังสือคิโนะคุนิยะ (Kinokuniya) ที่ใหญ่มาก รวมไปถึงสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นมากมายด้วย แต่จุดที่ส้มตั้งอกตั้งใจเดินไปหาคือบริเวณ “ซุปเปอร์มาร์เก็ต” ที่อยู่ชั้นใต้ดินค่ะ ก็มันมีขนมและอาหารคาวหวานสไตล์ญี่ปุ่นให้เราซื้อมาลองชิมเพียบ ขอบอกนิดนึงว่าคนที่ชื่นชอบความอร่อยของ “สละอินโดนิเซีย” สามารถมาซื้อได้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตของทากาชิมาย่าค่ะ สละอินโดฯ คนไทยก็ปลูกนะคะ แต่ส้มเคยทานแล้วรสชาติแตกต่างจากสละอินโดแท้ๆ ที่เค้ามีรสหวานและกรอบอร่อย (ไม่มีความฝาดเหมือนที่ปลูกในไทย) แล้วก็มีร้านข้าวหน้าไก่ย่าง ที่ส้มเห็นคนต่อแถวรอเยอะมาก อยากไปร่วมต่อแถวกับเค้าเหมือนกัน แต่ด้วยภารกิจในการยกลังสละอินโดกว่า 10 กิโลกรัมไปฝากพ่อแม่ จึงไม่สามารถยืนรอได้จริงๆ ค่ะ

อย่างที่ส้มบอกว่าเป็นคนไม่ชอบช้อปปิ้งเท่าไหร่ ต่อให้มีห้างเป็นสิบๆ ตึกยังไง ก็ไม่ล่อตาล่อใจส้มอยู่ดี คราวนี้เลยไม่มีข้อมูลห้างอื่นๆ มาเขียนบอกเล่าให้เพื่อนๆ เลย ขอโทษด้วยนะคะ แหะๆ

การเดินทางไปถนน Orchard Road : นั่ง MRT มาลงที่สถานี Orchard

ก่อนไปสำรวจย่านช้อปปิ้ง ขอทานอาหารเช้าก่อน..ติ่มซำ มีแต่ของทอด เลี่ยนจัง

หน้าห้าง Paragon

พอดีเดินสำรวจถนนออชาร์ดน้อยมาก เลยขออนุญาตนำภาพจากเว็บไซต์ http://www.orchardroad.org มานะคะ

ถ้าเห็นตึกสีน้ำตาล มีป้ายกำกับขนาดนี้ไม่ผิดแน่ ห้างTakashimaya ชัวร์

ซุปเปอร์มาเก็ตมีสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ มากมาย รวมถึงประเทศไทยด้วย


เดินเล่นรอบเมือง Again

ชื่อรีวิวก็บอกอยู่ว่ามาเที่ยวเมืองเมอร์ไลออน จะไม่ให้ตามหารูปปั้นเจ้าสิ่งนี้ได้ยังไง มาอยู่สิงคโปร์กว่า 4 วันแล้ว ยังไม่ได้ไปทักทายเจ้าสิงโตทะเลเลยค่ะ เย็นวันนี้ส้มจะไปเดินสำรวจตึกรามบ้านช่องและถ่ายรูปคู่กับเมอร์ไลออนให้จงได้

ส้มใช้วิธีเดินทางด้วย MRT ไปลงสถานี Clarke Quay เพื่อมาเดินเล่นจากย่าน Clarke Quay ต่อไปที่ Boat Quay  ส้มว่าสองแห่งนี้ถึงจะอยู่ใกล้กันแค่ถนนกั้น แต่มีความแตกต่างกันพอสมควรนะคะ ส้มว่า Clarke Quay จะเน้นร้านอาหารใหญ่ๆ ส่วน Boat Quay จะมีทั้งผับ บาร์ขนาดกลาง-เล็ก ส้มว่าย่านนี้คึกคักกว่า Clarke Quay อีก ดูได้จากจำนวนคนสิงคโปร์และนักท่องเที่ยวที่จับจองพื้นที่แต่ละร้านเต็มไปหมด

เดินเล่นย่าน Boat Quay

ร้านอาหารมีวัตถุดิบสดๆ เลยจ้า

จากย่านบันเทิงยามค่ำคืน ส้มก็เดินมาเรื่อยๆ จนถึงบริเวณ THE FULLERTON HOTEL” แฟนส้มบอกว่าเป็นโรงแรมที่เก่าแก่และหรูที่สุดในสิงคโปร์แล้ว เวลามีบุคคลสำคัญเดินทางมาประเทศนี้ ก็จะต้องมาพักที่นี่แหละ (ส่วนเราได้แต่ยืนมองตาปริบๆ)

ใกล้ๆ โรงแรม THE FULLERTON HOTEL จะมีรูปปั้นเด็กกระโดดน้ำอยู่ รูปปั้นนี้เป็นเหมือนอาร์ซีที่ให้เราคอยค้นหาว่ามันอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ได้ถ่ายรูปกลับไปเหมือนทริปนี้ไม่สมบูรณ์ พอเจอแล้วต้องแชะมาซัก 2-3 ภาพ จากนั้นเราก็เดินเลาะข้างโรงแรมไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณ “อ่าวมาริน่า” (Marina Bay) จุดนี้แหละค่ะที่นักท่องเที่ยวต้องมา ย้ำว่า “ต้องมา” ก็เจ้ารูปปั้นเมอร์ไลออนพ่นน้ำเค้าตั้งอยู่ที่นี่ เย้ๆ มิชชั่นคอมพลีท ในที่สุดเราก็เจอกันเสียที

จุดถ่ายรูปคู่กับเมอร์ไลออน ส้มว่าตอนกลางคืนน่าจะสวยกว่ากลางวันนะคะ เพราะแสงสีจากอาคารต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังทำให้มันสวยยิ่งขึ้น จุดถ่ายรูปตรงนี้เรายังได้เก็บภาพอาคารทรงแปลกๆ อย่าง “Marina Bay Sands” ตึกที่ด้านบนมีรูปร่างเหมือนเรือ แล้วก็ตึกรูปเหมือนบัวบาน รวมถึง Singapore Flyer (ชิงช้าสวรรค์) ที่เห็นอยู่ไกลๆ ด้วยค่ะ

เดินเล่นยามค่ำคืน

นี่ไงรูปปั้นเด็กกระโดดน้ำ

ตามป้ายนี้มานะจ๊ะ

โรงแรมที่หรูสุดในสิงคโปร์

แลนด์มาร์กของสิงคโปร์ ต้องมาให้ได้

สิงโตทะเลพ่นน้ำ

 

เดินสำรวจรอบเมืองหลายกิโลเมตร อาการหิวก็ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกตั้งใจจะหาข้าวเย็นทานแถว Marina Bay แต่หาร้านที่ถูกใจไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นผับหรูๆ สุดท้ายต้องกลับมาตายรังที่ไชน่าทาวน์ เพราะถนน “Smith Street” ของกินเยอะไม่แพ้ที่ไหนในสิงคโปร์ค่ะ เมนูที่เราทานวันนี้คือ ปลากระเบนย่างด้วยเครื่องเทศสไตล์มาเลย์ , ปีกไก่ย่างบาบีคิว และถั่วฝักยาวผัดพริกสไตล์จีน และปิดท้ายด้วยโค้กอีก 2 กระป๋องแก้เลี่ยน 555

ปลากระเบนย่างรสชาติเข้มข้น เครื่องเทศหอมดีค่ะ แต่เนื้อน้อยไปหน่อยเลยต้องเบิ้ล 2 จาน ส่วนปีกไก่ย่างบาบีคิว เมนูขึ้นชื่ออีกหนึ่งชนิดของสิงคโปร์ไม่ค่อยประทับใจค่ะ รสชาติจืดและเนื้อแห้งไปหน่อย อาจเป็นเฉพาะร้านนี้ก็ได้นะคะ ส้มไม่รู้ว่าที่อื่นๆ อร่อยมากน้อยแค่ไหน สุดท้ายคือถั่วฝักยาวผัดพริกเป็นเมนูธรรมดา แต่ส้มชอบที่สุดในมื้อนี้ เพราะชอบกินผัดผักเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วนะค่ะ

ไก่ย่างบาบีคิว (6.8 SGD)

ปลากระเบนย่าง จานละ 11 SGD

ผัดถั่วฝักยาว 11.5 SGD

 

วันที่ห้า : เก็บตกย่านไชน่าทาวน์-แพ็คกระเป๋าบินกลับสู่ไทยแลนด์

วันนี้ส้มต้องเดินทางกลับกรุงเทพเมืองฟ้าอมร โดยต้องถึงสนามบินชางฮีในเวลาบ่ายสามโมง ทำได้แค่เดินเล่นรอบๆ ไชน่าทาวน์ค่ะ มื้อเช้าเราฝากท้องไว้ที่ฟู๊ดคอร์ทเดียวกับที่ทานในมื้อแรกที่มาเยือนสิงคโปร์ จะกลับบ้านวันนี้อยู่แล้ว ยังไม่ได้กินเมนูประจำชาติเค้าเลย “ข้าวมันไก่” ไงคะ แต่ส้มไม่ได้ไปเสาะแสวงหาร้านดังที่ไหนหรอกค่ะ ทานมันแถวนั้นแหละ ไก่นุ่มใช้ได้ ที่ชอบคือข้าวค่ะ เม็ดเรียงสวยไม่มันมากเกินไป แต่ที่ไม่ชนะไทยคือน้ำจิ้มค่ะ แบบไทยแซ่บกว่าเยอะ

เพิ่งจะได้กินข้าวมันไก่ในวันสุดท้าย / ลองทานบะกุ๊ดเต๋ในฟู๊ดเซ็นเตอร์ดูบ้าง สรุปไม่อร่อยเลย

 

ทานข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเดินดูตึกรามบ้านช่องในไชน่าทาวน์แป๊บนึง ก่อนไปหาซื้อของฝากต่อค่ะ นี่เป็นอีกวัฒนธรรมนึงของคนไทยนะคะ บ่งบอกว่าเราเป็นคนที่นึกถึงผู้อื่นอยู่เสมอเนอะ 555 ที่ไชน่าทาวน์เป็นย่านที่รวบรวมของฝากในราคาย่อมเยาว์มากมายค่ะ ทั้งพวกกุญแจ , Magnet ติดตู้เย็น , กระเป๋า , น้ำหอม หรือแม้แต่หมูแผ่นที่เลื่องชื่อก็มีขายเช่นเดียวกันค่ะ ร้านค้ามีให้เลือกซื้อเยอะไปหมด ดังนั้น ส้มคิดว่าควรเดินสำรวจราคาแต่ละร้านเพื่อเปรียบเทียบก่อนซื้อนะคะ

ย่านไชน่าทาวน์

วัดพระเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Relic Temple)

เมื่อได้ของฝากแล้ว เราสองคนก็มุ่งตรงไปที่ “วัดพระเขี้ยวแก้ว” วัดนี้อยู่ติดกับห้างที่เราทานข้าวเมื่อเช้าเลย วัดนี้อยากให้เพื่อนๆ ไปกันนะคะ คนที่ใส่เสื้อแขนกุด กางเกงสั้น เค้ามีผ้าคลุมให้ใส่ก่อนเข้าค่ะ ภายในสวยงามไปด้วยรูปปั้นเทพเจ้า และเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ มีผู้มากราบไหว้ขอพรกันตลอดวันเลยค่ะ

ด้านหน้าวัดพระเขี้ยวแก้ว

ด้านในวัด

บริเวณห้องโถงที่ใหญ่ที่สุดของวัด สวยงามมากๆ

มีคนมานั่งสวดมนต์ด้วยค่ะ

 

“วัดศรีมาริอัมมัน” (Sri Mariamman Temple)

อีกหนึ่งสถานที่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากไชน่าทาวน์คือ “วัดศรีมาริอัมมัน” วัดแขกที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายภาพสถาปัตยกรรมที่สวยงามมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (แต่ที่นี่มีค่าเข้าชมด้วยนะคะ)

วัดศรีมาริอัมมัน

ป้ายชี้แจงการจ่ายค่าเข้าชมด้านใน

ร้อนๆ แบบนี้กินไอติมคลายร้อนซะหน่อย


วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ ประเทศที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก มาเองแบบไม่ง้อทัวร์ใดๆ ทั้งสิ้น สิงคโปร์เป็นประเทศที่เดินทางท่องเที่ยวไม่ยาก เพราะเป็นเกาะเล็กๆ และการคมนาคมดีมาก แต่เรื่องค่าใช้จ่ายนี่ไม่ถูกนะคะ เพราะค่าครองชีพของเค้าแพงกว่าเราหลายเท่า จะซื้ออะไรทีคิดแล้วคิดอีก แต่ก็มีหลายวิธีที่พอจะช่วยประหยัดเงินได้ เช่น พักเกสต์เฮ้าส์แบบที่ส้มแนะนำไปในตอนที่ 1 และราคาตั๋วเครื่องบินก็คอยมอนิเตอร์แบบโปรโมชั่นไว้ ช่วยประหยัดได้อีกนะคะ

ประเทศ “สิงคโปร์” อยู่ไม่ไกลจากเมืองไทยมากนัก และถึงแม้เป็นประเทศเล็กๆ แต่เมืองนี้เต็มไปต้นไม้ร่มรื่น เทคโนโลยีสุดล้ำ ย่านช้อปปิ้งสุดเจ๋ง และอาคารรูปร่างแปลกตาและทันสมัยมากมาย ก่อนหน้านี้ส้มไม่เคยคิดว่าจะได้มาเที่ยวประเทศนี้ เพราะไม่ใช่แนวธรรมชาติแบบที่ชอบ แต่เพราะต้องมาเรื่องงานแท้ๆ ต้องขอบคุณงาน Broadcast Asia 2014 จริงๆ ที่ทำให้เรามีโอกาสได้มาทำความรู้จักกับประเทศที่มีสเน่ห์เฉพาะตัวอีกประเทศนึง

สำหรับรีวิวนี้ส้มหวังว่าข้อมูลต่างๆ นำมาฝากทุกคน จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการไปเที่ยวที่นี่นะคะ หากข้อมูลใดผิดพลาด ไม่ครบถ้วน หรือเม้าส์มอยเยอะไปหน่อย ส้มต้องขอโทษผู้อ่านทุกคนด้วยนะคะ (^/\^)

ปิดท้ายด้วยเครื่องที่คอยบอก Gate ที่เราจะไป Check-in ขึ้นเครื่องค่ะ คือเคาร์เตอร์สายการบินจะไม่รู้ว่าเราต้องขึ้น Gate ไหน จนกว่าเราจะเอาบาร์โค้ดใน Boarding Pass ไปสแกนค่ะ

บ๊ยบายสิงคโปร์ กลับเมืองไทยดีกว่า คิดถึงใจจะขาดแล้ว

97

ลิ๊งค์ Part 1 https://www.i-som.com/?p=2054

ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ www.facebook.com/ISomThailand

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น