แบกกระเป๋าท่องไปในดินแดนเมอร์ไลออน (Part 1)

On สิงหาคม 13, 2014 by admin

“สิงคโปร์” ชื่ออย่างเป็นทางการคือสาธารณรัฐสิงคโปร์ ประเทศที่มี “เมอร์ไลออน” หรือสิงโตทะเล เป็นสัญลักษณ์ที่ใครๆ ก็รู้จัก ประเทศนี้มีพื้นที่ประมาณ 700 ตารางกิโลเมตร (ถือว่าเล็กกว่ากรุงเทพมหานครเสียอีก) ถึงแม้ไซส์จะเล็กแต่ก็เป็น “เล็กพริกขี้หนู” นะคะ ทริปนี้ส้มขออาสาพาทุกคนไปทำความรู้จักเกาะเล็กๆ แห่งนี้ทั้งในแง่มุมของการท่องเที่ยว และขอสอดแทรกเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของคนที่นี่ ผ่านการบอกเล่าของชาวสิงคโปร์และคนไทยที่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้มากว่า 4 ปีกันค่ะ

การไปท่องเที่ยวในประเทศสิงคโปร์ของส้มครั้งนี้ เป็นการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศด้วยตัวเองครั้งที่ 2 จากที่ครั้งแรกเคยบุกไปเยือนฮ่องกงมาแล้ว เลยเกิดความมั่นใจมากขึ้นในการเที่ยวสิงคโปร์เอง และครั้งนี้นอกจากจะได้ความสนุกสนานจากการไปชมสถานที่ต่างๆ แล้ว ส้มยังมีโอกาสได้ทำความรู้จักและพูดคุยกับคนสิงคโปร์มากขึ้น ระยะเวลาตลอด 5 วัน 4 คืน จึงไม่ใช่แค่การท่องเที่ยวแบบทุกๆ ครั้ง แต่มันทำให้ส้มได้รู้จักนิสัยใจคอ แลกเปลี่ยนความคิด และเรียนรู้วิถีชีวิตของพวกเขามากขึ้น ที่เด่นที่สุดของคนสิงคโปร์สำหรับความคิดส้ม คงเป็นเรื่องความมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน มีเป้าหมายในชีวิต และพัฒนาศักยภาพของตนเองเสมอ

สาเหตุที่ประชาชนในประเทศมีศักยภาพขนาดนี้ ปัจจัยหลักส้มคิดว่ามาจากรัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมากค่ะ ระบบการศึกษาที่สิงคโปร์ดีเยี่ยมติดอันดับต้นๆ ของโลกและเอเชีย ไม่เพียงแต่คนสิงคโปร์เท่านั้น ชาวต่างชาติยังพร้อมใจกันมาศึกษาต่อที่นี่ด้วย หนึ่งในนั้นคือคุณแฟนของส้มเองค่ะ ครั้งหนึ่งเค้าเคยมีประสบการณ์การใช้ชีวิตที่นี่ เพราะต้องมาศึกษาต่อปริญญาตรี ส้มเลยได้ทั้งคนร่วมเดินทางและไกด์ไปในตัวค่ะ

 

เตรียมพร้อมเดินทาง

เอกสารต่างๆการไปประเทศสิงคโปร์ คนไทยไม่ต้องขอวีซ่านะคะ เพียงแค่ถือพาสปอร์ตที่ต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 6 เดือน (ให้นับจากวันเดินทาง) ก็เป็นอันใช้ได้แล้ว เพื่อนๆ ควรเตรียมเอกสารแผนการเดินทาง เช่น หนังสือแนะนำการท่องเที่ยว ,กำหนดการที่ปริ๊นเอาไว้ แต่ที่ส้มใช้เป็นประจำคือส่งไฟล์ข้อมูลเข้าอีเมลตัวเอง แล้วโหลดใส่ App ที่เปิด PDF ในมือถือได้ เท่านี้ก็ไม่ต้องคอยแบกกระดาษพะรุงพะรัง แถมไม่ต้องกลัวว่าหากไม่มีอินเทอร์เน็ตจะเปิดดูเอกสารไม่ได้ค่ะ (ส้มใช้ App ที่ชื่อว่า Document)

ที่พักราคาที่พักในสิงคโปร์ค่อนข้างแพงค่ะ ถ้าเพื่อนๆ ไปกันหลายคน ส้มแนะนำให้พักเกสต์เฮ้าส์นะ เพราะราคาห้องถูกกว่าโรงแรมเยอะมาก มีให้เลือกหลายทำเล แถมการตกแต่งก็เก๋ดีด้วยค่ะ หารกันตกคืนละไม่ถึงพัน (ต่อคน) ส่วนส้มเลือกโรงแรมค่ะ เพราะไปกันแค่ 2 คนและอยากได้ห้องน้ำในตัว แต่ก็ไม่ใช่โรงแรมติดดาวนะคะ เป็นโรงแรมที่อยู่ในไชน่าทาวน์ คืนละ 3,000 กว่าบาท (แอบเสียดายเงินมาก แงๆ) คนที่ล็อกวันเดินทางแน่นอนแล้วควรรีบจองที่พักตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ราคาถูกหน่อย ถ้าจองผ่านเว็บไซต์พวก Agoda , Booking.com อาจมีส่วนลดด้วยนะคะ (เพื่อนคนไหนชอบการพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนชาวต่างชาติ ที่สิงคโปร์ก็มีบริการคล้ายๆ เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ที่เจ้าของปล่อยห้องให้เราเช่าอยู่ด้วยนะคะ แต่ก็มีทั้งถูกและแพงแล้วแต่ทำเลและสไตล์ห้องค่ะ)

การไปเที่ยวด้วยตัวเองแบบนี้ ส้มคิดว่า ไม่ควร ใช้กระเป๋าลากที่ใบใหญ่เกินไปนะคะ (ยกเว้นคุณจะไปอยู่เป็นเดือนๆ) เพราะเวลาเราเข้าพักที่โรงแรมหรือเกสต์เฮ้าส์ห้องพักมีขนาดค่อนข้างเล็ก หากพักกันหลายคนในห้องเดียว แค่พื้นที่วางกระเป๋าก็ทำเอาไม่มีทางให้เดินชัวร์ค่ะ อีกอย่างต้องเดินเยอะและขึ้นรถไฟตลอด หากมีกระเป๋าใบเขื่องคงไม่คล่องตัวเท่าไหร่ แต่ถ้าเพื่อนพักโรงแรมดีๆ ห้องใหญ่หน่อย อันนี้ก็สุดแล้วแต่เลยค่ะ แต่ส้มพักโรงแรมกึ่งเกสต์เฮ้าส์เลยต้องประหยัดพื้นที่ไว้

สิงคโปร์ใช้กระแสไฟ 220-240 โวลต์ เหมือนประเทศไทย แต่ที่ต่างออกไปคือเป็นแบบเต้าเสียบ 3 ขาค่ะ เพื่อนๆ ก็อย่างลืมเตรียมปลั๊กยูนิเวอร์แซลไปด้วยนะคะ ยิ่งมี 2 อันจะดีมาก จะได้ไม่เสียเวลาต่อคิวชาร์ตอุปกรณ์ไฟฟ้าทีละอันค่ะ

ส้มจองผ่าน Agoda ค่ะ แค่ปริ๊นใบจองไปยื่นที่เคาน์เตอร์โรงแรมก็เรียบร้อย

3

 

การแต่งกายแนะนำให้เลือกเสื้อผ้าที่ใส่สบายและคล่องตัว พราะอากศค่อนข้างร้อน รองเท้าผ้าใบเป็นอะไรที่เวิร์คมาก เพราะเที่ยวเมืองนี้มีแต่เดิน เดิน และเดิน (รองเท้าแตะไว้ใส่เดินระยะใกล้ๆ พอ)

ค่าเงินที่สิงคโปร์ใช้เงิน “ดอลล่าห์สิงคโปร์” (SGD) เพื่อนๆ แลกได้ที่ธนาคารหรือ Super Rich ก็ได้นะ ตอนที่ส้มแลกเรทอยู่ที่ 26 บาท = 1 SGD ถือว่าเป็นค่าครองชีพที่โหดมากๆ สำหรับคนไทยเลยล่ะค่ะ (ราคา ณ เดือนมิถุนายน 57)

คนที่สงสัยว่าจะแลกเงินไปเท่าไหร่ดี อันนี้ส้มว่าต้องดูแผนการเที่ยวของเพื่อนๆ ประกอบด้วย ถ้าเน้นช้อบปิ้งคงต้องแลกไปเยอะ (แต่ถ้าของแพงมากก็ตัดบัตรเครดิตดีกว่าค่ะ) ส้มขอยกตัวอย่างค่าใช้จ่ายคร่าวๆ เพื่อเป็นแนวทางแล้วกันนะคะ

ปล.1 ตัวอย่างราคาสินค้า : น้ำอัดลม-น้ำเปล่า 1-2 SGD, ก๋วยเตี๋ยว-ข้าวชามละ 3-6 SGD ถ้าในร้านอาหารใหญ่ๆ ตกจานละ 10 SGD ขึ้นไปค่ะ ยิ่งใน Universal ราคาจะแพงเข้าไปอีก ส่วนผลไม้สดควรอดใจไว้กลับมาซื้อกินที่เมืองไทยเถอะค่ะ ราคาเกินเอื้อมมาก มะม่วงครึ่งซีกขาย 2.50 SGD เชียวนะ!!!

สายการบินส้มใช้บริการของแอร์เอเชีย ขาไป FD 361 (06.25 – 09.40 น.)  ขากลับ FD 354 (17.05 – 18.35 น.) จริงๆ ก็มีหลายสายการบินที่พาเราไปถึงสิงคโปร์ได้ แต่แอร์เอเชียราคาถูกกว่า (ณ วันที่ส้มจอง) ส้มก็เลยเลือกอันนี้ จากไทยไปสิงคโปร์ก็ใช้เวลาไม่นาน จึงไม่เน้นความสะดวกสบายอะไรมากนักค่ะ แต่ว่าก็ต้องมาเสียค่าน้ำหนักกระเป๋า 500 บาทต่อเที่ยว (20 กิโลกรัม) หากอยากทานอาหารบนเครื่องก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มเช่นกัน ขาไปส้มจองอาหารทางระบบออนไลน์ ประกอบด้วย ชุดข้าวมันไก่ย่าง , ชุดแพนเค้ก และชุดไก่ต้มเค็มสูตรเล็กคาราบาว เมนูหลังคาดหวังว่าจะอร่อยนะคะ เพราะเห็นหลายคนบอกอร่อย แถมในพันทิปมีคนไปรีวิววิธีทำจากพี่เล็ก ดูหน้าตาน่าทานมาก พอได้ชิมคำแรก เอิ่ม…ขอเป็นคำสุดท้ายเลยแล้วกัน~~~ปิดฝาอย่างด่วย!! สรุปอาหารทั้งสองชุดจืดสนิท แต่ที่ไม่คิดว่าจะอร่อยดันเป็นแพนเค้ก แป้งนุ่มฟูมากค่ะ

เวลา Check-in ที่เคาน์เตอร์สายการบิน ควรไปก่อนเวลาซัก 2 ชม. นะคะ จะได้ไม่ต้องเร่งรีบเกินไป

2 (1)

 

ปล.2 คนที่ใช้มือถือเครือข่าย True Move ส้มแนะนำว่าให้คอยเช็คโปรโมชั่นในเว็บไซต์ True U นะคะ เพราะบางทีจะมีโปรโมชั่นลงทะเบียนแลกเครื่องดื่มบนเครื่องฟรีด้วย ส้มก็ใช้วิธีนี้ทั้งขาไป-ขากลับเลย ประหยัดไปได้หลายร้อยจ้า (โปรนี้เฉพาะผู้ที่เดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชีย)

ไม่ต้องเสียเงินซื้อน้ำบนเครื่องค่ะ

บินลัดฟ้า…มุ่งหน้าสู่ดินแดนเมอร์ไลออน

ส้มเดินทางในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาค่ะ ขอบอกว่าอุณหภูมิความร้อนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประเทศไทย ที่เลือกช่วงเวลานี้เพราะส้มต้องไปดูงาน “Broadcast Asia 2014” ซึ่งจัดขึ้นในเดือนนี้พอดี จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมาในเดือนที่ร้อนระอุแบบนี้ค่ะ (><!)

เมื่อเดินทางจากสนามบินดอนเมือง ถึงสนามบินชางฮี (Changi Airport) ประเทศสิงคโปร์แล้ว อย่าลืมตั้งนาฬิกาใหม่ด้วยนะคะ เพราะที่นี่จะเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมงค่ะ พอเพื่อนๆ ลงเครื่องรับสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องมองหา MRT เพื่อเดินทางเข้าเมือง อย่างส้มพักที่โรงแรม The Inn at Temple Street Hotel ก็ต้องนั่ง MRT ไปลงที่สถานี Chinatown (exit Pagoda street) แล้วเดินผ่านซอยเล็กๆ มาไม่น่าเกิน 300 เมตร ก็ถึงหน้าโรงแรมที่ตั้งอยู่บนถนน Temple Street แล้วค่ะ (แนะนำให้เพื่อนๆ ซื้อ EZ-Link บัตรสารพัดประโยชน์ที่ใช้จ่ายเวลาขึ้นรถไฟฟ้า รถเมล์ และซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตได้ด้วยค่ะ)

เมื่อมาถึงสนามบนิชางฮี ก็เดินตามป้าย Arrival ได้เลยค่ะ

จุดตรวจคนเข้าเมือง ต่อคิวกันเยอะเหมือนกันค่ะ


แผนที่ MRT ของสิงคโปร์ค่ะ

 

แผนที่ MRT ขนาดใหญ่ดูได้จากลิ๊งค์นี้ค่ะ

http://www.smrt.com.sg/Trains/NetworkMap.aspx

ที่ The Inn at Temple Street Hotel เป็นโรงแรมขนาดเล็กค่ะ พอเปิดประตูห้องพักมา… โอ้ว!! ห้องเล็กมาก ขนาดส้มเลือกห้องประเภท Double Bed นะคะ (ขนาดความกว้างคือกางแขนออกสองข้างก็เกือบสุดผนังแล้วค่ะ) ถ้าใครรักความสะอาดแบบสุดๆ โปรดเลือกที่อื่นดีกว่าค่ะ เพราะตลอด 5 วันที่ส้มพักที่นี่ เจอแมลงสาปตัวเล็กๆ ในห้องน้ำทุกวัน ส้มและแฟนต้องทำหน้าที่เพชฌฆาตจำเป็นสังหารมันวันละ 3-5 ตัว (พอดีโรงแรมอยู่ติดกับโซนร้านอาหารด้วยน่ะค่ะ) แต่ในแง่ทำเลที่นี่สุดยอดมาก อยู่ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก ใกล้ MRT สถานี Chinatown แล้วยังอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวและย่านของกินด้วย เรื่องการสื่อสารผ่านระบบออนไลน์ก็ไม่มีขาด เพราะมี Free WiFi ที่ห้องค่ะ

ลิ๊งค์ของโรงแรม

http://www.theinn.com.sg

เล็กไม่เล็ก รูปนี้เป็นพยาน

นี่ขนาดถ่ายแบบพาโนแล้วนะคะ

สิ่งที่ลำบากในการใช้ชีวิตในห้องนี้มากสุดคือ “ห้องน้ำ” แคบมาก โถส้วมเกือบติดกระจกกั้นห้องอาบน้ำแล้ว


 ปล.3 สถานที่น่าสนใจใกล้โรงแรม : ถนนคนเดินไชน่าทาวน์เช้า-กลางคืน , วัดพระเขี้ยวแก้ว , วัดศรีมาริอัมมัน , Maxwell Food Center , ร้าน Yum Cha Restaurants ติ่มซำชื่อดังตั้งอยู่ตรงข้ามโรงแรมเลย (แต่ละที่เดินไม่น่าเกิน 1 กิโลเมตร)

เซิร์ทหาที่ตั้งจาก Google ได้เลยนะคะ (จากแผนที่เห็นมั้ยล่ะว่าใกล้ MRT มั่กๆ)

แผนที่ย่านไชน่าทาวน์

หน้าโรงแรม The Inn at Temple Street Hotel

บริเวณล็อบบี้ค่ะ

หากยังไม่ถึงเวลา Check-in ก็ฝากกระเป๋าไว้ก่อนได้นะคะ


โดยปกติจากสนามบินเข้าเมืองอาจต้องนั่ง MRT แต่ครั้งนี้ แอนโทนี่ ชาวสิงคโปร์ที่เคยเป็นผู้ดูแลแฟนส้มตอนที่เรียนที่นี่อาสามารับเราจากสนามบินค่ะ ระหว่างทางที่นั่งรถตู้เข้าเมือง ส้มสะดุดตากับต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่ตลอดเส้นทางค่ะ มันทำให้เมืองที่ล้อมรอบด้วยทะเลแห่งนี้ร่มรื่นเย็นสบายขึ้นหลายเท่า เวลาเดินทางไปที่ไหนในประเทศนี้ส้มก็มักเห็นต้นไม้ใหญ่อยู่เสมอ แอนโทนี่บอกว่ารัฐและคนสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมาก ได้ยินแล้วนึกเสียดายที่ประเทศเรามีทรัพยากรมากกว่าเค้าเป็นไหนๆ แต่กลับไม่ช่วยกันรักษา มีแต่คิดหาทางใช้ประโยชน์จากมันจนแทบไม่เหลือแล้ว

ถึงหน้าโรงแรมไม่มีต้นไม้ แต่สีสันสดใส ชนะเลิศ!!


ยิ่งขับรถเข้าเมือง การจราจรและตึกสูงก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส้มสังเกตเห็นว่ามีการก่อสร้างหลายแห่ง ทั้งแอนโทนี่และคุณแฟนเล่าว่า อาคารต่างๆ สร้างขึ้นใช้งานไม่กี่สิบปีก็ถูกทุบแล้วสร้างใหม่เป็นเรื่องปกติ แม้แต่ที่พักอาศัยที่เค้าซื้อยังมีระยะเวลาในการเป็นเจ้าของประมาณ 90 ปีเท่านั้น คือซื้อมาใช่เป็นสมบัติเราไปชั่วลูกชั่วหลานนะคะ (เรื่องเวลาการครอบครอบสิทธิ์ไม่ชัวร์เท่าไหร่) ถ้าอยากได้คอนโดที่เป็นของตัวเองตลอดไป บางแห่งราคากว่า 30-40 ล้านบาท!!! แม่เจ้า หัวใจแทบวายเมื่อได้ยิน นี่คงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้คนสิงคโปร์กระตือรือร้นทำงานหนักกันตลอดสินะ รถตู้ที่มารับเราสองคน แอนโทนี่บอกว่าอายุจะครบ 10 ปีแล้ว ต้องซื้อใหม่ เพราะเป็นกฎหมายของสิงคโปร์ เข้มงวดจังเลย เสียดายเนอะรถคันนึงราคาไม่ใช่ถูก หากเป็นคนไทยขยันทำงานตอนหนุ่มสาวเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว บั้นปลายจะได้มีรถมีบ้านอยู่อย่างสบาย แต่ที่สิงคโปร์กลับกันเป็นคนละเรื่องเลย (ที่สิงคโปร์คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในคอนโดนะคะ เพราะพื้นที่มีจำกัดน่ะค่ะ)

วันแรกในสิงคโปร์ : ไปชมต้นไม้ที่ Gardens by the Bay กัน

มื้อแรกในสิงคโปร์ของหลายๆ คนอาจเป็นข้าวมันไก่หรือบะกุ๊ดเต๋สไตล์สิงคโปร์ซักชาม แต่ส้มขอแหวกแนว จัดปิ้งย่างสไตล์เกาหลีโลดจ้า เพราะแอนโทนี่แนะนำว่าร้านนี้อร่อย 555+

ได้มีโอกาสนั่งคุยกับแอนโทนี่ เจนนิเฟอร์ (แฟนแอนโทนี่) รวมถึงอดีตนักศึกษาจีนที่มาเรียนในสิงคโปร์และยังคงทำงานต่อที่นี่ โต๊ะเราคุยกัน 3 ภาษา มีทั้งอังกฤษ จีน และไทย เจอแบบนี้นึกย้อนถึงตอนเรียนว่า “รู้งี้ ตูขยันเรียนวิชาภาษาอังกฤษให้มากดีกว่า” (คนสิงคโปร์พูดภาษาอังกฤษกับจีนได้เป็นเรื่องปกติ พ่อค้าแม่ค้า คนทั่วไปพูดได้หมด ถึงแม้สำเนียงจะแปลกๆ ตามสไตล์เค้าก็เถอะค่ะ ถ้ามีลูกมีหลานน่าส่งมาเรียนต่อที่นี่นะคะ คุ้มเลยได้ตั้งหลายภาษา เผลอๆ อาจได้ภาษามาเลย์มาด้วยนะ)

ทานอาหารไปคุยไปจนเวลาล่วงเลยเกือบบ่าย 3 โมง แอนโทนี่รีบพาเราไปตะลอนสิงคโปร์ต่อ เค้ากลัวมาถึงแล้วจะไม่ได้เที่ยว เลยพาไปชมไฮไลน์เดินดูพืชสวนต้นไม้ที่ Gardens by the Bay”

มื้อแรกของเราค่ะ ใครสนใจอาหารเกาหลี

แนะนำค่ะ รสชาติใช้ได้ (อยู่แถวไชน่าทาวน์เลย)

บุฟเฟต์ด้วยนะจ๊ะ


Gardens by the Bay

“Gardens by the Bay” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวค่ะ เชื่อว่าคนที่เดินทางมาสิงคโปร์คงต้องหาเวลาไปเยือน สำหรับคนที่ชื่นชอบเรื่องราวของธรรมชาติ ต้นไม้ ดอกไม้ ยิ่งหลงรักที่นี่มากขึ้น เพราะนอกจากการตกแต่งสถานที่ให้ดูอลังการงานสร้าง แบบที่เราสามารถมองเห็น Supertree Grove ได้จากระยะไกลแล้ว ยังเป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่รวบรวมพันธุ์ไม้หลากสายพันธุ์จากทั่วทุกมุมโลก มาให้เราได้ศึกษาและชื่นชมค่ะ เพื่อนๆ สามารถเดินเล่นได้สบาย เพราะเค้าจัดแสดงในโดมเรือนกระจกยักษ์ที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ

วิธีการเดินทางไป Gardens by the Bay สามารถนั่ง MRT สาย Circle Line แล้วลงที่สถานี Bay Front ตรงนั้นมีสะพานเชื่อมระหว่าง Marina Bay Sands และ Gardens by the Bay ทางเชื่อมนี้เป็นจุดถ่ายรูปที่สวยอีกแห่งหนึ่ง เพราะจะเห็นวิวตึกสูง แม่น้ำ และ Singapore Flyer ยิ่งช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดินบรรยากาศดีเข้าไปใหญ่ (ที่นี่มีรถ Shuttle Bus ให้บริการด้วย สามารถนั่งจากด้านนอกเข้ามาชมบริเวณรอบๆ Gardens by the Bay เปิดให้บริการตั้งแต่ 09.30-17.00 น. ถ้าเพื่อนๆ ชมต้นไม้เพลินเกินเวลา ขากลับอาจต้องเดินออกมาเองแบบส้มได้นะคะ อิอิ)

บริเวณสะพานเชื่อมต่อระหว่างตึก Marina Bay Sands และ Gardens by the Bay

ถ่ายรูปวิวจากทางเชื่อมซะหน่อย

Supertree Grove ยิ่งใหญ่อลังการมาก

ซื้อตั๋ว Shuttle Bus จะได้ประหยัดแรงกันหน่อย

เวลาให้บริการ

ลวดลาย Shuttle Bus มุ้งมิ้งดีแท้


ขอเซ็นเซอร์คุณแฟน เดี๋ยวเฮียเขิล


มาซื้อตั๋วเข้าชมภายในโดมต่างๆ

 

ส่วนของโดมเรือนกระจก แบ่งเป็น 2 โซน คือ Flower Dome และ Cloud Forest ส่วนแรก “Flower Dome” จัดแสดงพันธุ์ไม้ที่มีอยู่ทั่วโลก เช่น สวนเมดิเตอร์เรเนียน สวนออสเตรเลีย สวนแอฟริกาใต้ สวนแคลิฟอร์เนีย สวนอเมริกาใต้ เป็นต้น ส่วนที่สอง “Cloud Forest” พอเดินผ่านประตูเข้าไปจะสัมผัสได้ถึงไอเย็นของละอองน้ำตกจำลอง ซึ่งมีความสูงพอสมควร พวกพันธุ์ไม้ในเขตป่าดิบชื้นก็มีให้ชมมากมาย ไฮไลน์คือทางเดินลอยฟ้าที่ลัดเลาะคดเคี้ยวไปมา เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่ใจกล้าได้เดินชื่นชมต้นไม้ในมุมมองใหม่ๆ ส้มมีโอกาสลองเดินเหมือนกันค่ะ แต่ไปได้แค่ 2 ชั้น (จากบนสุด) ก็ไม่เอาแล้ว คนกลัวความสูงอย่างส้มใจไม่กล้าจริงๆ (><)

ลิ๊งค์ข้อมูลของ Gardens by the Bay

http://www.gardensbythebay.com.sg/en/home.html

เริ่มชมที่ Flower Dome

มีจอขนาดใหญ่แสดงภาพดอกไม้สวยๆ

ด้านในโดมกว้างขวางและเย็นสบายมากค่ะ

มุมสูงกันบ้างค่ะ

จัดแสดงต้นไม้ ดอกไม้ ได้น่าสนใจ ถ่ายรูปเพลินแน่ค่ะ

มาดูส่วนของ Cloud Forest กันบ้าง

ทางเดินลอยฟ้า ถ้ามาแล้วต้องลอง


มื้อแรกในฟู๊ดคอร์ท

เราใช้เวลาใน Gardens by the Bay ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็เดินทางกลับค่ะ ที่พักเราเช็คอินได้ตอน 14.00 น. พอกรอกเอกสารเสร็จก็ยกกระเป๋าที่ฝากไว้บริเวณล็อบบี้ขึ้นชั้น 2 ดีนะคะที่ได้ห้องพักอยู่ชั้น 2 เพราะโรงแรม The Inn at Temple Street Hotel ไม่มีลิฟท์จ้า…. วันนี้เวลาชั่งยาวนาน เดินทางจากประเทศไทยตั้งแต่เช้า ตะลอนที่โน่นที่นี่กลับมาถึงห้องพักแทบสลบ ขอนอนเอาแรงหน่อยแล้วกัน ตกเย็นจะพาเพื่อนๆ ไปทานข้าวแถวที่พักค่ะ

อย่างที่ส้มบอกค่ะว่าโรงแรมนี้อยู่ในย่านท่องเที่ยวและอาหารการกิน จึงไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะหาอร่อยๆ ทาน  ร้านอาหารที่สิงคโปร์ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในฟู๊ดเซ็นเตอร์ค่ะ มื้อเย็นของวันแรกส้มเลยเลือกทานที่ฟู๊ดเซ็นเตอร์ของห้างใกล้ๆ ถนน Smith Street (น่าจะเป็น Maxwell Food Centre) เพราะราคาไม่แพงแถมมีให้เลือกหลายอย่างด้วย (ห้างนั้นอารมณ์คล้ายๆ ตลาดสามย่าน ที่ด้านล่างขายของสด ชั้นสองขายเสื้อผ้าเครื่องใช้ต่างๆ และด้านบนเป็นฟู๊ดคอร์ทน่ะค่ะ/ไม่มีแอร์นะคะ)

ไม่เก่งภาษาอังกฤษก็สั่งอาหารทานได้ แค่ชี้ที่รูป

ผัดหมี่สไตล์สิงคโปร์ รสชาติคล้ายผัดซีอิ้วและหน้าตาคล้ายผัดไทย (3 SGD)

บะหมี่แห้ง ลูกชิ้นปลา (3 SGD)

พอกินเสร็จก็เลยเดินเล่นรอบๆ ไชน่าทาวน์ซักหน่อย ตอนกลางวันว่าคึกคักแล้ว กลางคืนยิ่งคึกคักมากกว่าอีกค่ะ แต่อย่าเพิ่งเผลอช้อปนะคะ เรายังอยู่อีกหลายวัน เดี๋ยวใกล้ๆ วันกลับค่อยซื้อก็ได้ จะได้มีเวลาตรวจสอบราคาหลายๆ ร้านก่อน เดินย่อยเสร็จก็กลับห้องอาบน้ำ และสลบทันทีค่ะ Zzzzz

มาถึง Chinatown แล้วจริงๆ นะ

ถนนด้านหน้า MRT สถานี Chinatown ทางออก Pagoda street

นี่มันผลไม้จากเทือกเขาหิมาลัยรึไง แพงได้อีก


เข้าสู่วันที่ 2 : ไหว้เจ้าแม่กวนอิม , ชมความงามวัดแขก , บุกห้างมุสตาฟา

สำหรับวันนี้เรามีเวลาเดินเล่นแค่ช่วงสั้นๆ เพราะมีกำหนดการไปดูงาน Broadcast Asia 2014 ต่อ ด้วยเวลาอันจำกัดจึงต้องตื่นแต่เช้าและเดินชมเมืองในระยะใกล้ๆ ถึงจะมีเวลาไม่มากแต่ส้มก็อยากไปเพื่อเก็บภาพและเรื่องราวมาฝากเพื่อนๆ นะคะ (^_^)

วันนี้ส้มจะพาทุกคนไปไหว้พระที่ “วัด Kwan Im Thong Hood Cho Temple” “วัด Sri Krishnan Temple” ต่อด้วยสำรวจสินค้าที่ “ห้างมุสตาฟาเซ็นเตอร์” กันค่ะ

ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมง ถือว่าน้อยมาก แทบเป็นชะโงกทัวร์เลยทีเดียว แต่เอาน่ะ ดีกว่าไม่ได้มาอ่ะเนอะ อิอิ

วัด Kwan Im Thong Hood Cho Temple

วัดกวนอิมตงฮุดโชเป็นวัดพุทธที่ตั้งอยู่ในย่านบูกิส (Bugis) วัดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นับถือของชาวสิงคโปร์และต่างชาติอย่างมาก ทุกวันมีผู้คนมากราบไหว้ขอพรกันแน่นขนัด

วิธีการเดินทางให้นั่ง MRT สถานี Bugis (EW12) แล้วออก Exit C เดินต่อมาซักพัก พอใกล้ๆ ถึงวัดเราจะเจอฟู๊ดเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่พอสมควร ส้มเลยแวะทานอาหารเช้าที่นี่ด้วย

ก่อนถึงวัด จะเจอตึก ALBERT CENTRE  อารมณ์ประมาณพันทิพย์บ้านเราน่ะค่ะ

ระหว่างสถานี MRT ไปวัด มีซอยให้แวะช้อปปิ้งด้วยนะคะ

มื้อเช้าขอทานโจ๊กกบหม้อดินซักชาม อร่อย แต่เนื้อกบน้อยไปหน่อย ราคา 6 SGD (อาหารที่ทำจากกบมีขายทั่วไปในสิงคโปร์ค่ะ)

ลักซา อาหารของชาวสิงคโปร์ มีส่วนผสมของกะทิค่ะ (3 SGD)


จากฟู๊ดเซ็นเตอร์เราเดินต่อมาอีกไม่เกิน 300 เมตร ก็ถึงวัดแล้วค่ะ ระหว่างทางไม่เหงาเลยนะคะ มีร้านแผงลอยเต็มไปหมด ทั้งอาหารแปรรูป ผลไม้ หรือแม้แต่อุปกรณ์การครัวต่างๆ ส้มชอบตรงที่แม่ค้าพ่อค้าสาธิตวิธีการใช้อย่างมืออาชีพมากๆ แค่มีโต๊ะเล็กๆ 1 ตัวกับสินค้าของเค้า ดูไปดูมาอย่างกะรายการทีวีไดเร็คเลย ส้มยืนชมอยู่พักนึงเพลินดีเหมือนกันค่ะ

ร้านแผงลอย รอสาธิตอุปกรณ์กันใหญ่

มุงดูอะไรกัน มุงด้วยคนนะ

อย่าเข้าใจผิด!! นี่ไม่ใช่หน้าศาลเจ้าหรือวัด มันคือร้านขายวัตถุมงคล

พอมาถึงหน้าวัด Kwan Im Thong Hood Cho Temple ก็เห็นเหล่าผู้ศรัทธาทั้งหลายกำลังยืนไหว้เจ้ากันเยอะเลย ขนาดวันที่ส้มไปเป็นวัดธรรมดาคนนะคะ แฟนส้มบอกว่าถ้าวันเสาร์-อาทิตย์ หรือเทศกาลตรุษจีนคนจะมหาศาลกว่านี้หลายเท่าค่ะ หน้าวัดมีร้านขายดอกไม้ ธูปเทียนด้วย ใครอยากอุดหนุนร้านไหนตามสะดวกเลยค่ะ ตอนที่ไหว้พระขอพรเสร็จแล้วอย่าเพิ่งรีบขึ้นรถไฟฟ้ากลับนะคะ เรายังมีอีกหนึ่งไฮไลน์ในย่านบูกิสรอคุณอยู่

หน้าวัดเจ้าแม่กวนอิม

แค่ประตูก็อุตส่าห์จะถ่าย ><“

 

วัด Sri Krishnan Temple

ถึงแม้จะเป็นวัดในศาสนาฮินดู แต่อยู่ไม่ไกลจากวัดเจ้าแม่กวนอิมเลยค่ะ เพื่อนๆ เดินต่อมาซัก 50 เมตรก็ถึงแล้ว จุดเด่นของวัดแขกที่ส้มชอบคือรูปปั้นเทพในศาสนานั้น เวลามองได้ทั้งความสวยงาม อลังการ และความขลัง แต่ส้มเป็นคนขี้กลัวเวลาเข้าวัดแขกหรือมัสยิดนิดหน่อย ประมาณว่าทำตัวไม่ถูก ไม่รู้อะไรเป็นสิ่งควรทำหรือพฤติกรรมต้องห้าม เวลาเข้าไปก็จะไหว้และยืนชมความสวยงามนิดๆ หน่อยๆ ก็ออกมาแล้ว เลยต้องขออภัยเพื่อนๆ ด้วยนะคะ ที่ส้มเก็บภาพมาได้เพียงน้อยนิด

ส้มได้ความรู้เล็กๆ น้อยๆ จากการไปศาสนสถานหลายๆ ที่ในสิงคโปร์จากคุณแฟนค่ะ แฟนบอกว่าคนสิงคโปร์ประกอบไปด้วยชาวจีน อินเดีย มาเลเซีย ซะส่วนใหญ่ จึงทำให้ประเทศนี้มีการผสมผสานวัฒนธรรมและศาสนาเข้าด้วยกันอย่างลงตัว โดยทุกคนมีอิสระในการเลือกนับถือและประกอบพิธีการศาสนาได้ สิ่งนี้น่าชื่นชมมากเลยค่ะ

วัด Sri Krishnan Temple


ห้างมุสตาฟาเซ็นเตอร์

ก่อนที่ส้มจะเดินทางไปสิงคโปร์ ได้หาข้อมูลจากรีวิวในอินเตอร์เน็ตมากมาย สถานที่หนึ่งที่ติดอันดับต้นๆ สำหรับคนไทยคือ “ห้างมุสตาฟาเซ็นเตอร์” (Mustafa Centre) ส้มใช้วิธีเดินจากวัดแขกไปที่ห้างค่ะ ระหว่างทางก็ผ่านย่าน Little India (ลิตเติ้ล อินเดีย) สองฝั่งถนน Buffalo Road มีร้านค้ามากมายเลย ส้มเห็นร้านขายผ้า ร้านอาหารอินเดีย และร้านทองมากสุด ขอกระซิบนิดนึงว่า ร้านทองที่นี่อลังการ เหลืองอร่ามเวอร์ เห็นแล้วอยากถ่ายรูปมาฝาก แต่กลัวเจ้าของร้านคิดว่าเป็นมิชฉาชีพวางแผนเตรียมปล้นน่ะค่ะ

ได้เดินผ่านย่านลิตเติ้ลอินเดีย

 

สำหรับคนที่ไม่ได้เดินมาแบบส้ม สามารถนั่ง MRT แล้วลงที่สถานี Farrer Park (NE8) เดินอีกหน่อยก็ถึงห้างแล้วค่ะ แต่ก่อนเข้าไปเลือกซื้อสินค้าเราต้องนำกระเป๋ามาให้เจ้าหน้าที่ห้างเค้าล็อกก่อนนะคะ แล้วตอนคิดเงินค่อยตัดที่ล็อกทิ้งเพื่อเอากระเป๋าสตางค์ค่ะ ถ้ากระเป๋าใบใหญ่ๆ เจ้าหน้าที่จะให้ฝากกระเป๋าไว้ที่ด้านหน้าค่ะ (กันพวกหัวขโมยที่อาจหยิบของใส่กระเป๋าน่ะค่ะ)

มุสตาฟาเซ็นเตอร์ มีทั้งหมด 6 ชั้น แต่ละชั้นจะแยกสินค้าตามประเภท เช่น เสื้อผ้าผู้หญิง-ชาย , เครื่องสำอาง , ขนม , อุปกรณ์การครัว , เครื่องมือช่าง เป็นต้น คนไทยหลายคนชอบมาซื้อของฝากที่นี่ เพราะราคาถูกกว่าท้องตลาดและมีให้เลือกเยอะ ส่วนการจัดวางสินค้าไม่ได้หรูหราอะไร ออกแนวซุปเปอร์มาร์เก็ตผสมโชห่วยมากกว่า ยอมรับว่าของเยอะจริง แต่ไม่ได้มีคุณภาพดีเสมอไปนะคะ ยังไงเพื่อนๆ ก็ลองเปรียบเทียบราคากับคุณภาพสินค้าดูแล้วกันจ้า (เค้าบอกว่าเวลาช้อบปิ้งเราต้องช้อปแบบมีสติเนอะ)

หน้าห้างมุสตาฟาเซ็นเตอร์

ใครที่ต้องการแลกเงิน ด้านหน้าห้างก็มีบริการนะคะ (เห็นว่าได้ราคาดีด้วย)


ดูงานสื่อ Broadcast Asia 2014

สำหรับงาน Broadcast Asia 2014 เป็นงานที่รวบรวมเทคโนโลยีมากมายเลยค่ะ ทั้งเรื่องกล้อง , อุปกรณ์การทำรายการโทรทัศน์ ฯลฯ สำหรับคนที่ทำงานด้านสื่อ หรือสนใจเรื่องราวเทคโนโลยีด้านนี้ สามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าชมได้ฟรีทางเว็บไซต์นะคะ หรือใครขี้เกียจก็แค่นำนามบัตรไปแลกบัตรเข้าชมหน้างานเลยก็ได้ งานนี้จัดขึ้นในเดือนมิถุนายนของทุกปีค่ะ เพื่อนๆ อยากดูว่าเค้าจัดแสดงสินค้าและบริการอะไรบ้าง สามารถเข้าไปชมได้จากเว็บไซต์ http://www.broadcast-asia.com ได้ค่ะ

งานนี้จัดใน Marina Bay Sands เลยขอแช๊ะภาพมา 1 ใบถ้วน อิอิ

ไปดูงานล้ำๆ กันบ้าง

 

ทำความรู้จักอาหารสิงคโปร์

หลังจากดูงานเรียบร้อยแล้ว แอนโทนี่พาเราไปทานอาหารเย็นกันต่อค่ะ ตอนแรกเค้าตั้งใจจะพาไปที่ Old Airport Road Food Centre ที่มีร้านดังหลายร้าน แต่โชคไม่ดีที่มันปิดปรับปรุง คำว่าปิดปรับปรุงในความหมายของคนสิงคโปร์ไม่ใช่แบบไทยนะคะ เมืองไทยเรามักจะค่อยๆ ปิดทีละโซน จะได้ไม่กระทบผู้ค้าและผู้ซื้อมากนัก แต่สิงคโปร์ปรับปรุงทีปิดมันทั้งหมด ร้านค้าในนั้นก็ต้องหาทำเลในการตั้งร้านชั่วคราว หรือไม่บางเจ้าก็ย้ายถาวรเลย เพราะว่าเวลาปรับปรุงนี่เป็นเดือนเลยค่ะ ร้านไหนมีกำลังหน่อยถึงขั้นลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์กันเลยนะคะ (กลัวลูกค้าประจำหาไม่เจอ)

เมื่อผิดหวังจากที่แรก จะทำไงได้เพราะบริเวณที่อยู่นั้นไม่ใช่ย่านการค้าที่มีร้านอาหารให้เลือกมากนัก เราเลยทานอาหารร้านแถวๆ นั้นไปก่อน เมื่อได้ทานอาหารสิงคโปร์แบบเต็มสตรีมครั้งแรก และอีกหลายๆ มื้อต่อมา ขอบอกว่าอาหารส่วนใหญ่มักเป็นของทอด ของผัดใส่น้ำมันเยอะมาก รสชาติออกจืดๆ และยังชอบใส่ซอสสีดำๆ ในอาหารหลายๆ อย่าง ถ้าเป็นสไตล์มาเลย์อาจมีส่วนผสมของกะทิ เช่น ลักซา เป็นต้น แต่รสชาติก็ไม่ได้จัดจ้าน กลมกล่มเหมือนอาหารไทยที่เราคุ้นเคย คิดดูสิคะว่าแอนโทนี่และชาวสิงคโปร์หลายคนที่ส้มเจอต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อาหารไทยอร่อยกว่าอาหารสิงคโปร์” พวกเค้าอยากกลับมาเที่ยวเมืองไทย และทานอาหารไทยแท้ๆ ได้ยินแบบนี้ภูมิใจในความเป็นไทยจริงๆ ค่ะ

เมนูสุดฮิตของสิงคโปร์ที่ร้านอาหารดังๆ ต้องมีประดับบารมี คือ ปูผัดพริกและผัดพริกไทยดำ มื้อนี้เราได้ทานปูผัดพริกไทยดำ เป็นเมนูที่อร่อยใช้ได้เลยค่ะ เค้าใส่พริกไทยดำเยอะ กลิ่นเลยหอมมากๆ ทานกันฟันดำปากดำกันหมด เพราะพริกไทยติดปาก 555 (เค้าใช้ปูศรีลังกาเป็นวัตถุดิบค่ะ มันจะมีขนาดใหญ่กว่าปูทะเลบ้านเรา เนื้อค่อนข้างเยอะและแน่นมากๆ ตัวนึงกินกันแทบไม่หมดเลย)

จริงๆ ทานหลายเมนู แต่มีโอกาสถ่ายมาแค่รูปเดียว (T_T)

 

หลังทานอาหารเสร็จ ส้มมีโอกาสไปทำความรู้จักกับครอบครัวของแอนโทนี่ ทุกคนน่ารักมากๆ ค่ะ อย่างที่ส้มบอกว่าคนสิงคโปร์จะอาศัยอยู่ในคอนโด ห้องหนึ่งจะแบ่งเป็นห้องย่อยๆ อีกประมาณ 2-3 ห้อง ถึงแม้ขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ราคาไม่ใช่เล่นเลยเมื่อเปรียบเทียบเป็นเงินไทย แต่ค่าเงินและรายได้ของคนสิงคโปร์เค้ามากกว่าไทยหลายเท่าค่ะ แอนโทนี่บอกว่าตอนนี้นักศึกษาจบใหม่เงินเดือนเริ่มต้นที่ 50,000 บาท!!! หูผึ่งเลย ถ้าเป็นไทยแลนด์ต้องทำงานกี่เดือนกว่าจะได้เท่ากับเดือนเดียวของเค้าเนี๊ยะ (><”)

บริเวณที่อยู่อาศัยจะอยู่นอกเมืองค่ะ ส่วนใหญ่ในเมืองเป็นย่านธุรกิจ

(เห็นมั้ยค่ะมีแต่ตึก คอนโดทั้งนั้นเลย)

พื้นที่น้อยต้องใช้สอยอย่างคุ้มค่า…นี่คือจุดตากผ้าค่ะ


วันนี้ไม่มีการเดินสำรวจตลาดยามค่ำคืนแล้วค่ะ เหนื่อยมาก เมื่อยสุดๆ ยิ่งสองวันแรกส้มใส่รองเท้าหุ้มส้นธรรมดา ทำเอาเท้าระบมเดินไม่ไหว ถึงห้องปุ๊บ หลับปั๊บ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที… สลบแป๊บ Zzzz

Part 2… ส้มจะพาทุกคนไปทานบะกุ๊ดเต๋ร้านดังที่ Song Fa Bak Kut The , ย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กที่ Universal Studios , ช้อปปิ้งย่าน Orchard Road , ซื้อขนมญี่ปุ่นที่ ห้างทากาชิมาย่า (Takashimaya) และเก็บตก Chinatown กันค่ะ หวังว่าเพื่อนๆ จะตามไปเจอกันในตอนต่อไปด้วยนะจ๊ะ เลิฟยูแล้วเจอกันตอนหน้า บ๊ายบาย  \(^_^)/

 

ลิ๊งค์ Part 2 https://www.i-som.com/?p=2165

 

ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ www.facebook.com/ISomThailand

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น