ซารางเฮโย “Korea” (Part 1)

On กรกฎาคม 22, 2015 by admin

0

 

อันยองฮาเซโย (안녕히 가세요) วันนี้ขออินเตอร์นิ๊ดนึงนะคะ จะได้เข้ากับบรรยากาศและเนื้อหารีวิว ครั้งนี้ส้มจะพาบุกประเทศเกาหลีใต้กันค่ะ จากประเทศนอกสายตาเพราะคิดว่า “ไม่เห็นมีอะไรน่าเที่ยวเลย”

แต่วันหนึ่งส้มก็เห็นบางอย่างที่น่าสนใจในประเทศนี้ และที่นี่ก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ ด้วย ใครที่ชอบความอาร์ต ความชิค และความชิล คุณต้องรีบแพ็คกระเป๋าแล้วตามมาแดนกิมจิกับส้มแล้วล่ะค่ะ

สาธารณรัฐเกาหลี (Republic of Korea) หรือที่เราเรียกติดปากว่า “เกาหลีใต้”  (South Korea) บางคนมักถามว่า “ประเทศนี้มีอะไรนอกจากตามรอยซีรีย์?” ส้มขอสารภาพว่าเคยคิดแบบนั้นเช่นกัน จนกระทั่งได้กลายเป็น “ติ่ง” (ติ่งในที่นี้คือแฟนคลับดารา หาใช่อวัยวะส่วนเกินไม่) รสนิยมดิชั้นแปลกใหม่ดันไปเป็นติ่ง “แทฮัน มินกุก มันเซ” เด็กแฝดสามคนที่มีอายุเพียงแค่ 3 ขวบ!! ลูกชายของ “ซง อิลกุล” พระเอกซีรีย์เรื่องจูมง ที่ปรากฏตัวในรายการ “The Return Of Superman” จากจุดนั้นทำให้ประเทศแคทรียา (นอกสายตา…กล้าเล่นเนอะ) กลับน่าสนใจขึ้นมาทันตาเห็น

เนื้อหาในรายการมีอัปป้า (คุณพ่อ) พาลูกไปเที่ยว กิน และทำกิจกรรมตามสถานที่ต่างๆ แม้สถานที่ท่องเที่ยวไม่ได้สวยปาดตาแต่ก็นับว่ามีเสน่ห์เป็นของตัวเอง จนรู้สึกอยากไปตามรอย (ใจจริงอยากไปบ้านของสามแฝดมากกว่า แต่มันไกลเกิน) แล้วเหมือนอาจารย์ที่เรารู้จักท่านหนึ่งมีญาณทิพย์ ล่วงรู้ได้ว่าเราอยากไป อาจารย์เที่ยวเกาหลีพร้อมโพสต์รูปอาหารทุกๆ วัน จากที่อยากไปอยู่แล้ว พอมีเรื่องอาหารเข้ามาเกี่ยว ไอ้คนบ้ากินอย่างส้มถึงกับตบะแตก ทนไม่ไหวรีบเสิร์ชหาตั๋วโปรอย่างไวเพื่อบินไปตามรอยของกิน (^__^)

3 แฝด น่ารักซะขนาดนี้จะไม่หลงได้ไงเนอะ

สามแฝด

 

เมื่อตัดสินใจจะไปต้องทำอะไรก่อนดี??

เช็คช่วงเวลาน่าเที่ยว

ช่วงที่นักท่องเที่ยวเยอะสุดคงเป็นฤดูใบไม้ร่วงและใบไม้ผลิ ถึงจะสวยแต่ก็แลกมากับค่าที่พักและตั๋วเครื่องบินที่มีราคาสูงลิ่ว ส้มขอแนะนำอีกหนึ่งช่วงเวลาที่มีทั้งความสวยของธรรมชาติ อากาศดี และที่สำคัญค่าตั๋วถูก(กว่า) นั่นคือเดือนพฤษภาคมค่ะ ที่เมืองไทยร้อนสุดๆ ผิดกับเกาหลีสิ้นเชิง เพราะเรายังได้รับความฟินจากอุณหภูมิเย็นๆ เหมือนเปิดแอร์ทั้งประเทศอยู่เลยอ่ะ ปลื้ม

ส่วนจะเที่ยวนานแค่ไหนก็อยู่ที่ลางานได้มากเท่าไหร่ มีงบประมาณขนาดไหนนั่นแหละค่ะ (ข้อหลังสำคัญมาก) สำหรับส้มระยะเวลา 5 วัน 4 วัน ถือว่ากำลังดี ก็ที่เที่ยวยอดฮิตส่วนใหญ่มักอยู่ในกรุงโซล (Seoul) ทำให้ใช้เวลาเดินทางไม่มาก วันๆ หนึ่งถ้าไม่กลัวเมื่อยซะก่อนอัดที่เที่ยวได้ 3-4 แห่งเลยนะคะ

ปล.1 คนไทยได้รับการยกเว้นวีซ่า หากไปเที่ยวเกาหลีไม่เกิน 30 วัน ใช้เพียงพาสปอร์ตที่มีอายุการใช้งานเหลือมากกว่า 6 เดือนเท่านั้นค่ะ

 

มีตังค์ไว้อุ่นใจที่สุด

แหม!! ก็เราไม่ใช่พวกเงินถุงเงินถังเรื่องตังค์จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ทริปนี้ส้มเลือก Backpack เองอีกครั้ง เพราะเช็คราคาทัวร์แล้วมีแต่ 20,000 กว่าๆ (ค่อนไปทางปลาย) เลยตัดสินใจว่าเราสองสามีภรรยาเที่ยวเองดีกว่า จะได้วางแผนไปที่ชอบที่ชอบ เฮ้ย!!! ไปในที่เที่ยวที่อยากจะไปด้วย (T_T”)

เราตั้งงบไว้คร่าวๆ คนละ 20,000 บาท (รวมค่าที่พัก , ค่าตั๋วเครื่องบิน-เดินทาง , อาหาร) มันอาจไม่ใช่ทริปที่ประหยัดเวอร์ แต่เที่ยวคุ้มกว่าทัวร์แน่นอนค่ะ (สุดท้ายจ่ายค่าต่างๆ ได้ตามเป้านะคะ ยกเว้นค่าเครื่องสำอางที่ยั้งใจไม่อยู่ เลยแอบเกินคนละ 20,000 บาทมานิดหน่อย)

ค่าเงินเกาหลีเรียกว่า WON (วอน) ตอนที่ส้มแลกจากซุปเปอร์ริช (Superrich) เรทอยู่ที่ 31 บาท ต่อ 1,000 วอน เวลาจ่ายเงินค่าข้าวทีเยี่ยงมหาเศรษฐีเลยค่ะ 555 (อาหารมื้อละประมาณ 20,000 วอนขึ้นไป) ใครอยากไปแลกที่ซุปเปอร์ริชแบบส้มก็เข้าไปดูที่เว็บไซต์เค้าได้นะ มีหลายสาขาเลยจ้า (อย่าลืมเตรียมสำเนา Passport เพื่อใช้ยื่นเวลาไปแลกเงินด้วยล่ะ)

เว็บไซต์ superrich : http://superrich1965.com

เงินวอน (Won) ของเกาหลีหน้าตาเป็นแบบนี้นะจ๊ะ (ขอบคุณภาพจาก Internet)

won

 

จองตั๋วเครื่องบิน+ที่พัก

ถึงช่วงเวลาสำคัญที่สุดของทริปแล้วค่ะ ค่าใช้จ่ายจะถูกจะแพงก็อยู่ตรงนี้ล่ะ โชคดีที่ฟ้าประทานสิ่งที่เรียกว่า “สายการบินต้นทุนต่ำ” หรือ Low-Cost Airline เพราะมันทำให้ “ใครๆ ก็บินได้”

สายการบินโลว์คอสที่บินตรงจากไทยไปแดนโสม มีทั้งสัญชาติไทยและเกาหลี สัญชาติเกาหลีที่ส้มรู้จักก็มี Jeju Air , Jin Air และ T’way Air ทั้งสามสายการบินนี้ราคาถูกกว่าสายการบินแบบ full service แถมเวลาบินค่อนข้างดี (บินดึก – ถึงเช้า) แต่ราคาก็แรงไปสำหรับส้มอยู่ดีล่ะค่ะ (ประมาณ 14,000-16,000 บาท)

ส้มเลยมองหาสายการบินใหม่ แล้วก็มาพบรักกับแพ็คเกจตั๋วเครื่องบินรวมที่พักของ AirAsiaGo” ที่ให้บริการเส้นทางบินของ AirAsia X วิธีการจองก็แสนง่าย เข้าไปในเว็บไซต์ AirAsiaGo แล้วระบุวันเดินทางไป-กลับ , เส้นทางบิน จำนวนผู้โดยสาร จากนั้นเว็บจะโชว์รายชื่อโรงแรม-สายการบิน-เวลาเดินทาง และราคาเริ่มต้นมาให้ (เพื่อนๆ สามารถระบุย่านที่พักได้นะคะมันจะแสดงเฉพาะโรงแรมที่ตั้งอยู่ในย่านที่เราต้องการ)

เพื่อนๆ สนใจโรงแรมไหนก็คลิกเข้าไปดูจะมีรายละเอียดของโรงแรมให้ เช่น ที่ตั้ง , สิ่งอำนวยความสะดวก และรีวิวจากผู้ที่เข้าพัก สำหรับส้มมีปัจจัยในการเลือกที่พัก คือ ต้องใกล้ตลาดเมียงดงและสถานีรถไฟ , มีห้องน้ำในตัว , Free Wifi , ความสะอาดและขนาดของห้องพัก สุดท้ายคือราคาที่ต้องคุ้มค่า ซึ่งผู้ชนะเลิศของเราคือ  “J Hill Hotel”

สเปคตรงกับที่ต้องการทุกอย่างแถมมีอาหารเช้าให้อีกด้วย โรงแรมอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน Myeong-dong และ Euljiro 1(il)ga รวมถึงจุดจอด Airport Limousine Bus มากๆ สรุปส้มเลือกเดินทางวันที 12-16 พฤษภาคม 2558  รวมระยะเวลา 5 วัน 4 วัน จองห้องแบบ Double Room และซื้อน้ำหนักกระเป๋าเที่ยวละ 20 กิโลกรัม/คน ราคาเพียง 23,679.20 บาท ตกคนละ 11,839.6 บาทเท่านั้น!!!!!

ปล.2 ถ้าเราไม่ได้ซื้อที่นั่ง อาจต้องนั่งแยกกันหน่อยนะคะ แต่ไม่ได้ไกลกันคนละซีกเครื่อง ยกตัวอย่างของส้มขากลับนั่ง 29A กับ 30A ค่ะ

เว็บไซต์จองแพ็คเกจ AirAsiaGo : http://thailand.airasiago.com/

เข้าเว็บ AirAsiaGo แล้วระบุเส้นทางที่ต้องการเดินทาง/วัน/และจำนวนคน จากนั้นกด “ค้นหา”

airasia go

เมื่อระบุเส้นทางและจำนวนผู้เดินทางแล้วจะเข้ามาหน้านี้ เราก็เลือกได้เลยว่าสนใจโรงแรมไหน (ราคาที่แสดงในหน้าแรกเป็นราคาเริ่มต้นนะคะ)

airasia go2

หากจองแพ็คเกจ-จ่ายเงินแล้วทาง Air Asia X จะส่ง Booking Confirm มาให้ เพื่อนๆ ก็ปริ๊นไว้สำหรับเช็คอินที่สนามบินด้วยนะจ๊ะ

Booking

 

วางแผนการเดินทาง

ส้มมีเวลาเที่ยวเต็มๆ 4 วัน (เพราะวันที่ 5 ต้องกลับสนามบินแต่เช้า) เลยคิดว่าเที่ยวแค่ในโซลก็พอ มีเฉพาะวันที่ 3 ที่เราขอออกนอกเมืองไปเกาะนามิ การวางแผนเที่ยวเลยไม่ยากเท่าไหร่ เพราะแต่ละที่อยู่ใกล้ๆ กัน นั่งรถไฟใต้ดินแป๊บเดียวก็ถึง นักท่องเที่ยวอย่างเราช๊อบชอบ

ส้มแนะนำให้เพื่อนๆ ลิสมาก่อนว่าอยากไปที่ไหนบ้างแล้วสถานที่เหล่านั้นมันต้องไปลงรถไฟสถานีอะไร จากนั้นปริ๊นแผนที่ Subway มาแล้วมาร์คจุด บวกกับใช้ https://www.google.com/maps/ เป็นตัวช่วย แค่นี้เราจะเริ่มมองเห็นที่ตั้งและคำนวณระยะทางคร่าวๆ ได้แล้ว สุดท้ายคือช่วงเวลาตัดใจค่ะ ที่ไหนอยู่นอกเส้นทางหรือต้องเดินทางไกลมากจนไม่คุ้มกับการไปถึง คงต้องยอมโบกมือลา (เทคนิคอีกอย่างที่ช่วยเราคือการใช้ Google Street View ส่องสถานที่จริงเพื่อดูว่ามีหน้าตาแบบไหน ซอกซอยเป็นยังไง อุ่นใจดีค่ะ) ขอบอกว่าการเที่ยวเกาหลีด้วยตัวเอง ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ คอนเฟิร์ม

แอพพลิเคชั่นที่หลายคนแนะนำให้ใช้ :  Subway Korea (แต่ส้มและคุณสามีถนัดกางแผนที่รถไฟมากกว่า เพราะสายรถไฟที่เกาหลีไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ค่ะ)

แผนที่รถไฟใต้ดิน (Subway) : https://www.smrt.co.kr/program/cyberStation/main2.jsp?lang=e

แผนที่ Subway

subway

 

Application ดาวน์โหลดได้ทั้ง IOS และ App Store

subway 2

 

ชาวโซเชียลห้ามลืม “Pocket WiFi Router”

สังคมก้มหน้าอย่างเราจะขาดอินเตอร์เน็ตได้ไง หากเปิด Data Roaming จากค่ายมือถือไปก็ชอบมีเงื่อนไขตุกติกให้จ่ายเพิ่มเกินแพ็คเกจตลอด ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปหากคุณใช้ “Pocket WiFi Router” (สำนวนอย่างกะทีวีไดเร็กซ์ 555)

ส้มเลือกใช้บริการของ “Easy Korea Wifi” โดยแอด Line ของบริษัทฯ จากนั้นก็แจ้งว่าเราจะเช่าเครื่องวันที่เท่าไหร่ แพ็คเกจไหน พร้อมจ่ายเงินให้เรียบร้อย ส้มต้องรับเครื่องที่สนามบินอินชอนนะคะ เพราะคนออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองเค้าไม่มีบริการส่งเครื่องที่สนามบินค่ะ ข้อดีของการรับที่อินชอนคือ เราสบายใจได้ว่าเครื่องสามารถใช้งานได้ปกติ เพราะเจ้าหน้าที่ของ Easy Korea Wifi ที่มาส่งของจะเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตให้เราลองใช้ทันที (กรณีรับในเมืองไทย หากเครื่องดันใช้ไม่ได้เมื่อไปถึง ทางบริษัทอาจทำเพียงโอนเงินคืนให้เราเมื่อกลับมาเมืองไทย ระหว่างนั้นก็ต้องหา Free Wifi ใช้แก้ขัด)

ส้มเลือกแพ็คเกจ LTE500MB เพราะสปีดเร็วและใช้ในพื้นที่ต่างจังหวัดได้ และจากการใช้งาน 5 วันถือว่าสัญญาณดีเยี่ยมเลยค่ะ แต่แบตจะหมดเร็ว ส้มแนะนำให้เพื่อนๆ พก Power Bank ไปเผื่อด้วยนะคะ ยังไงก็ลองเข้าไปดูในเว็บไซต์ได้ว่าแบบไหนที่เหมาะกับเราแล้วค่อยไลน์ไปหาเพื่อจองเครื่องค่ะ

เว็บไซต์ Easy Korea Wifi : http://www.easykoreawifi.com/

คำแนะนำจาก Easy Korea Wifi (ขออนุญาตนำภาพที่เค้าส่งมาให้ เพื่อใช้ประกอบรีวิว จะทำให้เข้าใจระบบการทำงานง่ายขึ้นค่ะ)

คู่มือการใช้งาน LTE

 

บัตรนี้ช่วยให้ชีวิตพี่สบายขึ้น

“บัตร T-Money” เมื่อมาเกาหลีต้องซื้อติดตัวเป็นอีกหนึ่งอวัยวะของร่างกาย มันทำหน้าที่แทนเงินสดได้ทุกประการแต่ใช้ง่ายกว่า แค่แตะลงไปตรงที่จ่ายเงินที่มีสัญลักษณ์ T-Money ใช้ได้ตามร้านสะดวกซื้อ รวมถึงเข้า-ออกรถไฟ รถเมล์ แท็กซี่ได้โดยไม่ต้องซื้อตั๋วทีละครั้งให้เสียเวลา สามารถซื้อบัตรนี้ได้ที่ร้าน G25 , Family Mart หรือ 7-11 พร้อมเติมเงินที่นั่นได้เลยค่ะ ในสถานีรถไฟก็มีตู้เติมเงินอัตโนมัติไว้บริการด้วยค่ะ (บัตรอย่างเดียว ใบละ 2,500 วอน ซึ่งไม่มีเงินในบัตรนะคะ ต้องเติมเงินตั้งแต่ตอนซื้อเลยค่ะ)

ข้อมูลบัตร TMoney : http://english.visitkorea.or.kr/enu/TR/TR_EN_5_4.jsp

ปล.3 หากเช่า Pocket WiFi ของ Easy Korea Wifi เค้ามีบัตร T-Money ให้เรายืมด้วยค่ะ แค่แจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนวันไปรับเครื่องว่าต้องการยืมทั้งหมดกี่ใบ แล้วเค้าจะนำมาให้วันที่เรารับเครื่อง Wi-Fi ค่ะ

สัญลักษณ์ T-Money (เจอรูปนี้ที่ไหน แปลว่าสามารถใช้บัตรนี้จ่ายแทนเงินสดได้เลย)

T-money

 

อื่นๆ ที่ไม่ควรลืม

Universal Adapter: ปลั๊กที่ใช้ได้กับทุกประเทศ ห้ามลืมเด็ดขาด บางโรงแรมมีให้ยืมแต่พกไปอุ่นใจกว่าค่ะ (ใครอุปกรณ์ไฟฟ้าเยอะก็เผื่อปลั๊กพ่วงไปด้วยนะจ๊ะ/กระแสไฟที่เกาหลี 220 โวลต์เหมือนเมืองไทยจ้า)

เอกสารสำหรับการเดินทาง : พาสปอร์ต , ใบจองโรงแรม , ตั๋วเครื่องบิน , กำหนดการท่องเที่ยว , หนังสือรับรองการทำงาน-นามบัตร ฯลฯ ทั้งหมดนี้ควรโหลดใส่มือถือและปริ๊นไว้เผื่อเจ้าหน้าที่ ตม. ขอดูด้วยนะจ๊ะ

ยาต่างๆ : พารา , แก้ปวดเมื่อย , แก้เมารถ , แก้ท้องอืด-ท้องเสีย , ยาดม ฯลฯ

อุปกรณ์ไอที-กล้อง : เมมโมรี่การ์ด , สายชาร์จมือถือ , ที่ชาร์จแบตเตอรี่สำรอง ฯลฯ

เครื่องแต่งกาย : รองเท้าผ้าใบ (ส้นสูงขอให้เก็บไว้ก่อนเพราะมันไม่เหมาะกับการแบ็คแพคประเทศนี้ คือเดินเยอะมากแถมขึ้นเนินอีกตังหากค่ะ ซูฮกคนประเทศนี้เลยแข็งแรงจริงๆ)

 

ออกเดินทางไปถิ่น K-POP กันเถอะ

ครั้งแรกกับ AirAsia X

และแล้ววันที่ 12 พฤษภาคม ก็มาถึง วันนี้เราจะได้ไปเกาหลีกันแล้ว ดีใจอ่ะ ส้มต้องไปขึ้นเครื่องของสายการบิน AirAsia X ที่สนามบินดอนเมือง ไฟลท์ XJ700 (01.55-09.10 น.) เป็นเที่ยวบินที่ดึกสุดเท่าที่ส้มเคยนั่งมาเลยค่ะ ร้านค้าในดิวตี้ฟรีก็ปิดเกือบหมดแล้ว แต่ยังดีที่พอมีร้านอาหารเปิดบ้าง เราเลยจัดการรองท้องมื้อค่ำที่แมคโดนัลด์กันก่อน (สำหรับขาไปส้มไม่ได้ซื้ออาหารบนเครื่องนะคะ เพราะเห็นว่ามันดึกมากแล้ว)

ปล.4 ไฟลท์ที่เดินทางช่วงคาบเกี่ยววันแบบนี้ทำให้หลายคนพลาดตกเครื่องมาแล้วเพราะงงว่าตกลงต้องไปรอขึ้นเครื่องวันไหนกันแน่ ส้มขอยกตัวอย่างของตัวเองคือ เดินทางวันที่ 12 พ.ค. เวลา 01.55 น. แปลว่าต้องมารอขึ้นเครื่องคืนวันที่ 11 พ.ค. นะคะ เช็คเวลากันให้ดีๆ เพราะถ้าพลาดขึ้นมาเสียค่าตั๋วฟรีๆ เลยจ้า

ผู้โดยสารรอเช็คอินเพียบ

0.1

ไปเที่ยวกันเถอะ

0.2

 

ขอแอบเม้าส์สนามบินดอนเมืองหน่อยเถอะค่ะ มาที่นี่ให้อารมณ์เหมือนชมเมืองโบราณ ทุกอย่างวินเทจ ทั้งสถานที่ , ป้ายบอกทาง , ไฟสลัว , ห้องน้ำ , ระบบรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะระบบการจองคิวรถแท็กซี่ และอีกหลายอย่าง คือเห็นสภาพสนามบินนานาชาติแห่งนี้แล้วอายยังไงไม่รู้ค่ะ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีให้ใช้อ่ะเนอะ แต่ถ้าเสียงเล็กๆ นี้ดังไปถึงใครซักคนที่มีอำนาจแก้ไข ช่วยหน่อยเถอะค่ะ ปรับปรุงให้สภาพดีสมกับเป็นสถานที่รับแขกบ้านแขกเมืองนิดนึง

บ่นมาพอแล้วกลับเข้าเรื่องสายการบินกันต่อ… เมื่อพนักงานแอร์เอเชียประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่อง ทุกคนทยอยเดินตามกันไปในสภาพงัวเงีย (555) ยกเว้น เด็ก!!! ทริปนี้ทั้งขาไป-ขากลับส้มเจอเหล่ามนุษย์เด็กค่ะ ไม่ใช่เด็กธรรมดา แต่เป็นเด็กกรี๊ด ร้องไห้ วิ่งเล่นในเครื่อง ดีที่ความเหนื่อยล้ามีมาก เลยทำให้หลับตลอดการเดินทาง ไม่ต้องทนฟังเสียงเด็ก (เค้าไม่ได้เกลียดเด็กนะ แต่เจอแบบนี้ก็ไม่ไหวอ่ะ)

ภายในเครื่องบินแบ่งที่นั่งเป็นแบบ 3-3-3 ผู้โดยสารเที่ยวนี้เต็มเกือบทุกที่นั่งเพราะมีกรุ๊ปทัวร์เยอะ เรื่องสภาพภายในห้องโดยสารอยู่ในระดับดีค่ะ เครื่องบินไม่เก่า , เบาะไม่ขาดแถมนุ่มและนั่งสบายด้วย พื้นที่ระหว่างเบาะไม่แคบจนเกินไป คนสูง 170 อย่างส้มนั่งได้สบายค่ะ สรุปส้มให้ 8 คะแนนสำหรับ AirAsia X (ขอหักตรงเวลาขากลับไม่ค่อยดี และการเสิร์ฟ-เก็บอาหารใช้เวลานาน)

ขออภัยที่ภาพไม่ชัด (อย่างแรง /แถมมีรูปบนเครื่องอยู่รูปเดียวด้วย…ก็มันง่วงนี่นา)

0.4

 

ถึงแล้วสนามบินอินชอน..มาฝ่าด่านโหด “ตม.” กันเถอะ!!

ด่านตรวจคนเข้าเมืองประเทศเกาหลีใต้ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความโหด ยิ่งสาวๆ ที่หน้าพาสปอร์ตยังสะอาดอยู่อาจถูกเพ่งเล็งว่าเป็นพวกโรบินฮูดรึเปล่า แต่ถ้าเราเป็นนักท่องเที่ยวจริงๆ ไม่มีสิ่งใดแอบแฝงก็ไม่ต้องกลัวค่ะ เพราะ ตม.เค้าแค่ทำหน้าที่ของเค้า เราก็แค่ทำหน้าที่ของเรานั่นคือเตรียมเอกสารเผื่อเค้าขอดู เช่น ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ , กำหนดการท่องเที่ยว หรือหนังสือรับรองการทำงาน เป็นต้น

หากซวยดันสะดุดตาเจ้าหน้าที่จนถูกเรียกเข้าห้องเพื่อสัมภาษณ์ก็ไม่ต้องแตกตื่นไป เพราะส้มเห็นว่ามีคนโดนเพียบค่ะ แต่ซักพักเจ้าหน้าที่จะมาสอบถามเราตามขั้นตอน เช่น มาทำอะไร ,พักที่ไหน ,อยู่กี่วัน ฯลฯ ถ้าไม่มีอะไรน่าสงสัยเค้าก็ปล่อยออกมาแล้วก็เข้าประเทศเกาหลีได้เลย

ถึงส้มจะเคยไปมาหลายประเทศแต่ก็ใจสั่นทุกครั้งระหว่างต่อแถวเข้า ตม. คือกลัวเค้าถามเยอะแล้วฟังไม่ออกตอบไม่ถูก เพราะเราภาษาอังกฤษค่อนไปทางแย่น่ะค่ะ แต่อาศัยใจดีสู้เสือ เพื่อนๆ ทำตามได้นะ แค่ “ยิ้มไว้ ทำตัวสบายๆ Say Hi ตอนยื่นพาสปอร์ต” เจ้าหน้าที่ ตม.ที่หน้าอย่างดุก็ประทับตราผ่านให้ด้วยความรวดเร็ว โล่งงงงง (เวลาเกาหลีเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง เมื่อมาถึงสนามบินแล้วก็อย่าลืมปรับเวลาในนาฬิกาให้ตรงด้วยนะจ๊ะ)

แอร์โฮลเตสจะแจกใบตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีให้ก่อนลงเครื่อง ต้องกรอกให้เรียบร้อยนะคะ

0.5

0.6

 

ขั้นตอนการรับ Pocket Wi-Fi

หลังจากผ่านด่านที่ทำให้ใจระทึกมาแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการรับกระเป๋าค่ะ ระหว่างรอก็อย่าอยู่ว่างๆ ให้เชื่อมต่อ Wi-Fi Free ของสนามบินเพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่ Easy Korea Wifi ทางไลน์ บอกเค้าว่า I มาถึงแล้วนะ U แล้วนัดพบกันซักหน่อยเป็นอันเสร็จพิธี

บริษัทนี้เค้ามีวิธีรับเครื่องที่แปลกดีค่ะ คือก่อนเราขึ้นเครื่องที่เมืองไทยให้ถ่ายรูปแล้วไลน์ไปหาเค้า เพื่อให้เห็นว่าเราแต่งตัวยังไง หน้าตาเป็นแบบไหน พอเดินออกมาไอ้เราก็ยืนทำหน้างงๆ เพราะไม่รู้ว่าคนส่งเครื่องหน้าตาเป็นไง (ไม่แฟร์อ่ะ) ต้องรอให้เค้ามาทักเอง ดีนะเจ้าหน้าที่แต่ละคนตาไวแถมความจำดีเลิศ เห็นเราได้ในเวลาแป๊บเดียวหลังจากเดินออกมาจากประตู (พี่เค้าเคยเป็นตำรวจมาก่อนป่าวหว่า จำหน้าคนเก๊งเก่ง)

เจ้าหน้าที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ เค้าจะสาธิตวิธีใช้เครื่องและเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกับมือถือให้เราดูเลยว่าใช้ได้และสัญญาณปกตินะ แล้วก็นัดแนะวันที่เราเดินทางกลับเพื่อนำเครื่องมาส่งคืนเค้าค่ะ อ่อ อย่าลืมทวงบัตร T-Money ที่ยืมไว้ด้วยนะจ๊ะ

ขั้นตอนการรับ-ส่งเครื่องที่สนามบิน (ขอบคุณภาพจาก Easy Korea Wifi)

รับเครื่อง1

รับเครื่อง wifi แล้วขอแชะภาพกับผู้ส่งมอบซะหน่อย

0.8

 

เข้ากรุงโซลยังไงดี

การเข้าเมืองมี 2 วิธี (ที่คนส่วนใหญ่นิยม) คือการนั่งรถไฟ Airport Railroad (AREX) และ Airport Limousine Bus สำหรับคนที่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่และที่พักตั้งอยู่ใกล้จุดจอด Airport Limousine Bus Stop ส้มแนะนำให้นั่ง Airport Limousine Bus แม้ราคาจะแพงกว่ารถไฟแต่เราไม่ต้องลากกระเป๋าใบเขื่องขึ้นลงสถานีให้เหนื่อย ถือว่าคุ้มค่ะ

ส้มพักโรงแรม J Hill Hotel ตั้งอยู่ในตลาด Myeong-dong  ซึ่งมันอยู่ไม่ไกลจาก Airport Limousine Bus Stop  ป้าย Euljiro 1(il)ga เราแค่ซื้อตั๋วรถบัสสาย 6015  แล้วจะรออะไรอยู่ละค่ะ ไปซื้อตั๋วกันดีกว่า

เคาน์เตอร์ของ Airport Limousine Bus อยู่ใกล้กับประตู D (Exit D) ส้มก็แค่เดินไปบอกเจ้าหน้าที่ขายตั๋วว่าต้องการนั่งรถสาย 6015 ไปลงป้าย Euljiro 1(il)ga เค้าก็จะออกตั๋วมาให้ค่ะ ราคาคนละ 10,000 วอน

เมื่อได้บัตรโดยสารแล้วก็ออกมารอ ณ จุดจอดรถ ซึ่งจะมีป้ายระบุสายรถบัสตัวโตๆ เมื่อรถมาถึงก็แค่ยื่นตั๋วให้คนขับ เค้าจะนำกระเป๋าเดินทางไปเก็บให้ใต้ท้องรถพร้อมติด Tag ที่กระเป๋าไว้และส่งป้ายหมายเลข Tag นั้นให้เรา เมื่อถึงป้ายที่เราจะลงแค่ยื่นป้ายหมายเลขกระเป๋าเพื่อให้คนขับยกมาให้ เห็นมั้ยคะ นั่ง Airport Limousine Bus ดีจะตาย เนอะๆ

ปล.5 วันที่เดินทางกลับสนามบินก็มารอรถบัสที่ป้ายเดิมนะคะ รถจะมาทุก 30 นาที สามารถจ่ายค่ารถเป็นเงินสดให้กับคนขับได้เลยค่ะ และเพื่อความสะดวกของคนขับส้มแนะนำว่าควรเตรียมเงินให้พอดี เค้าจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาทอนเงิน คือเกรงใจคนขับน่ะค่ะ คงเหนื่อยแย่กระเป๋าก็มีแต่ใบใหญ่ๆ คนเดียวทำทุกอย่างเลย

ข้อมูลการเดินทางรูปแบบต่างๆ (ไป-กลับสนามบินอินชอน/อย่าลืมเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษก่อนนะคะ อยู่ขวาบนของเว็บไซต์ค่ะ) : http://www.cyberairport.kr/pa/tnp/pac300000.do

รายละเอียดเส้นทางรถบัสสาย 6015 :

http://www.airportlimousine.co.kr/eng/lbr/gangbuk/lbr02_1_6015.php

หน้าเว็บไซต์ข้อมูลการเดินทางไป-กลับสนามบินอินชอน

1

เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว Airport Limousine Bus

0.9

รายละเอียดจุดจอดที่ให้บริการ (ส้มลงจุดที่วงกลมสีแดงค่ะ)

0.10

รถบัสจอดรออยู่ด้านนอกอาคาร

0.11

Airport Bus Stop ป้าย Euljiro 1(il)ga

106

เส้นทางสาย 6015

ข้อมูลรถ 6015

สำรวจโรงแรมกันเถอะ

อย่างที่บอกว่า J Hill Hotel มีจุดเด่นเรื่องทำเลที่อยู่ในตลาดเมียงดง ถูกใจคนชอบช้อป เพราะจะลงมาช้อปตอนไหนก็ได้ตามต้องการ หากเหนื่อยก็กลับไปนอนซักงีบแล้วค่อยช้อปต่อยังได้ ตลอดเวลา 4 วันส้มเดินเมียงดงซะคุ้มเลยล่ะค่ะ (^0^)

เรื่องทำเลยกให้ 5 คะแนนเต็ม ส่วนบริการก็อยู่ในระดับน่าประทับใจ พนักงานบริการดี ตอนที่ส้มมาเช็คอินยังไม่ถึงเที่ยงด้วยซ้ำ แต่ห้องว่างพอดีเค้าเลยให้เช็คอินได้ (น่ารักอ่ะ) ห้องพักสะอาดมีแม่บ้านดูแลให้ทุกวัน แม้ห้องไซน์ไม่ใหญ่แต่สิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งตู้เย็น , ทีวี , โต๊ะเครื่องแป้ง , ไดร์เป่าผม , ตู้เสื้อผ้า , อุปกรณ์ที่ใช้ในการอาบน้ำ แม้แต่ตู้เซฟ สิ่งที่ชอบมากที่สุดคือ Free Wi-Fi เร็ว แรง ทันใจมาก อัพโหลดภาพลง Facebook ทีไรใช้เวลานิดเดียว

อาหารเช้าให้บริการเวลา 07.00 – 09.00 น. ส้มกับคุณสามีตื่นสายไปหน่อยอาหารบางอย่างเริ่มหมดแล้ว แต่ไม่เป็นไรเราไม่ค่อยเน้นมื้อเช้า (ทีมื้อดึกล่ะจัดหนักเชียว) คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ซื้อแพ็คเกจของ AirAsiaGo

อ่ะๆ ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีนะ ข้อเสียก็มีเหมือนกันโดยเฉพาะเรื่องเสียงดัง ด้วยความที่โรงแรมอยู่กลางตลาดเมียงดงจึงมีเสียงผู้คนที่อยู่ด้านล่าง ช่วง 5 ทุ่มก็มีเสียงรถพ่อค้าแม่ค้าที่มาเก็บของตอนตลาดวาย บวกกับห้องเราอยู่ใกล้กับที่เตรียมอาหารเช้า จึงไม่แปลกใจที่ทุก 6 โมงเช้าจะได้ยินเสียงทำอาหาร ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา เพราะความเหนื่อยล้าจะทำให้นอนหลับได้ในเวลาอันรวดเร็วเองล่ะค่ะ อิอิอิ

เว็บไซต์โรงแรม : http://www.jhill.kr/eng/main/main.asp

แผนที่โรงแรม J Hill Hotel

แผนที่โรงแรม

วิธีการเดินทางมาโรงแรม  J Hill Hotel

วิธีการเดินทางไปโรงแรม

ล็อบบี้

5

บริเวณรับประทานอาหารเช้า

6

 

มาดูในห้องนอนกันดีกว่า

2

4

3

 

Day 1: กินเมนูปิ้งย่าง+ซีฟู๊ดหม้อไฟ & ชมวิวที่ N Seoul Tower

ปิ้งย่างร้าน Kang Ho Dong Baek Jeong

กว่าจะเช็คอิน-เก็บของเสร็จก็เที่ยงพอดีค่ะ กองทัพมันต้องเดินด้วยท้องเราตัดสินไปกินก่อนเที่ยว มื้อแรกส้มขอพาไปกินเมนูที่คนมาเที่ยวเกาหลีต้องลอง…หมูย่างเกาหลีนั่นเองจ้า “ร้าน Kang Ho Dong Baek Jeong (강호동 백정)” เจ้าของคือคุณคังโฮดง พิธีกรรายการสตาร์คิงส์ จุดเด่นของร้านนี้อยู่ที่กระทะสามารถใส่ไข่ลงไปตุ๋นเพื่อกินคู่กับหมูย่างได้

ร้านนี้หาไม่ยาก อยู่ในซอย Myeongdong 2-ga (สถานีเมียงดงทางออก 8 เดิน 3-5 นาที) ร้านอยู่ซ้ายมือนะคะ สังเกตไม่ยากเพราะมีรูปคุณคังโฮดงใบเบ้อเริ่ม ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ระหว่างกินส้มเห็นมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเรื่อยๆ เลยอ่ะ ถ้าทางดังจริงอะไรจริง

ถึงแล้วตลาดเมียงดง

6.1

หน้าร้านเป็นแบบนี้นะจ๊ะ

15

ร้านมีทั้งหมูและเนื้อนะคะ แถมเมนูเก๋ไก๋อย่างกับหนังสือการ์ตูนแน่ะ เราเลือกเมนูหมูแบบเซ็ท ราคา 31,900 วอน มีหมูทั้งหมด 3 ชนิด ส่วนไข่จะใส่ให้ตอนตั้งเตาเสร็จ ใครจะขอเพิ่มจ่ายเงินครั้งละ 1,000 วอนค่ะ

ที่เกาหลีเวลาเข้าร้านอาหารเป็นราชามีหน้าที่แค่รอกินค่ะ เรื่องปิ้งย่าง ตัดหั่น พนักงานจะเป็นคนทำให้ทั้งหมด จริงๆ ส้มไม่ค่อยชอบนะเพราะเค้าย่างทีละเยอะๆ พอเรากินไม่ทันเนื้อจะสุกและแห้งเกินไป แต่ทำไงได้มันเป็นธรรมเนียมของเค้าเราก็ต้องยอม

เรื่องรสชาติ จาก 10 คะแนนขอให้แค่ 6.5 พอค่ะ ไม่รู้ส้มคาดหวังมากไปหรือรสชาติไม่โอเค แต่น่าจะอย่างหลังมากกว่า หมูค่อนข้างเหนียวและแข็งโดยเฉพาะตรงไขมัน ผักห่อแสนจะเหี่ยวไม่เป็นใบ เห็นแว๊บแรกถึงกับอึ้งหน้าตาเหมือนผักตามตลาดสดที่มันเสียแล้วแม่ค้าต้องคัดทิ้ง มีดีอย่างนึงคือกิมจิรสชาติถูกปากเลยล่ะ ใครอยากเติมเครื่องเคียงฟรีตลอดนะจ๊ะ

ปล.6 ร้านอาหารที่เกาหลีจะมีน้ำเปล่าให้บริการฟรี , หากเป็นอาหารประเภทปิ้งย่างหรือหม้อไฟ ไปคนเดียวก็ต้องสั่งอาหารสำหรับ 2 คนนะคะ เพราะที่นี่ปริมาณอาหารมีตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปค่ะ และเวลาคิดเงินร้านส่วนใหญ่ให้เดินไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ค่ะ

บรรยากาศภายในร้าน

13

ดูเมนูอาหารจิ น่ารักเนอะ

9

เราสั่งเซ็ต Combination combo 1

10

ไม่ได้มีแค่เมนูปิ้งย่าง

11

 

เตรียมพร้อม

8

12.2

อาหารเกาหลี เครื่องเคียงต้องแน่น

7

ใส่ไข่ วางเนื้อ รอกิน

12

12.1

ใกล้สุกแล้ว

12.3

14

อิ่มจังตังค์ก็หมด

14.1

 

N Seoul Tower

ท้องอิ่มแล้วก็ลุยกันต่อ จุดหมายต่อไปของเราคือ “N Seoul Tower” หรือนัมซานทาวเวอร์ แลนมาร์กของกรุงโซล ใครไม่มาเหมือนไปไม่ถึงเกาหลีนะจะบอกให้

คนที่พักแถวตลาดเมียงดงเหมือนส้ม วิธีการเดินทางแสนง่ายแค่ไปขึ้นบัสสาย 5 (รถเมล์นั่นแหละค่ะ) ป้ายรอรถบัสอยู่ตรงสถานีเมียงดง ทางออก 3 เดินตรงขึ้นมาประมาณ 50 เมตรก็ถึง รูปแบบการขึ้นรถบัสที่นี่ต้องขึ้นจากประตูด้านหน้าพร้อมจ่ายเงิน (จ่ายด้วยบัตร T-Money ได้) เวลาลงแค่กดกริ่งแล้วลงทางประตูด้านหลัง แต่ N Seoul Tower ไม่ต้องกดกริ่งนะจ๊ะเพราะมันอยู่สุดสาย (^_^)

ยืนรอตรงป้ายรถบัสนี้นะจ๊ะ

16

 

เมื่อมาถึงลานจอดรถของนัมซานทาวเวอร์ ก็ได้เวลาออกกำลังขาเดินขึ้นไปบนเนินที่ชันพอสมควร ถือเป็นการเผาผลาญไขมันจากหมูย่างเมื่อกี้ได้เป็นอย่างดี (-_-”) ระหว่างเดินส้มสังเกตเห็นคนเกาหลีชอบมา Trekking กัน รุ่นคุณลุงคุณป้าเยอะมาก แต่ละท่านดูแข็งแรงเดินขึ้นเนินได้สบายๆ ผิดกับนักท่องเที่ยวอย่างเรา หอบแฮ่กตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยค่ะ (-_-!)

รถบัสจะส่งเราแค่จุดนี้ เส้นทางต่อจากนี้ใช้สองขาของเรา

17

18

19

บรรยากาศระหว่างทาง ทำให้หายเหนื่อย

21.1

21

มองลงไปด้านล่าง เห็นกรุงโซลแบบพาโนราม่า

20

 

เมื่อขึ้นมาถึงบริเวณหอคอย N Seoul Tower คนที่อยากเดินดูนิทรรศการหรือขึ้นไปชมวิวด้านบนหอคอยต้องซื้อตั๋วที่ด้านหน้าก่อนนะคะ ส้มซื้อตั๋วสำหรับขึ้นไปชมวิวด้านบน ราคาคนละ 9,000 วอน พอขึ้นมาชมแล้วรู้สึกว่าคิดผิดอย่างแรง ด้านบนมันไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ถ้าเพื่อนๆ ไม่ค่อยมีเวลาหรืออยากประหยัดเงิน ส้มว่าผ่านกิจกรรมนี้ไปได้เลยค่ะ แค่ถ่ายรูป คล้องกุญแจ และเดินรับลมด้านล่างก็ฟินแล้ว แถมไม่ต้องเสียเงินอีกตังหาก

แม้บนหอคอยไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ แต่ส้มก็ชอบบริเวณรอบๆ ค่ะ บรรยากาศดีเพราะอยู่บนเขา ทางเดินขึ้นมาหอคอยก็มีต้นไม้ ดอกไม้ให้เราแวะชมตลอดทาง ถึงวันที่ส้มไปอุณหภูมิแค่ 12 องศาเซลเซียส (แถมลมแรง) แต่มันก็ได้ความฟินในอีกรูปแบบหนึ่ง ยังไงเพื่อนๆ ก็ลองมาเดินเล่นหรือเดินป่าเหมือนพวกคุณป้าก็ไม่มีให้ห้ามนะคะ ขอแค่เตรียมตัวให้พร้อมเป็นพอจ้า

เว็บไซต์นัมซานทาวเวอร์ : www.nseoultower.co.kr GPS : 37.551278,126.988271

ปล.7 การ Trekking ถือเป็นกิจกรรมยอดนิยมของคนเกาหลีเลยค่ะ ไปที่ไหนก็จะเห็นคนแต่งตัวพร้อมไป Trekking ทั้งนั้น ร้านขายอุปกรณ์สำหรับเดินป่าก็มีให้เลือกเยอะแยะ ที่เค้าชอบคงเป็นเพราะได้ออกกำลังกายและเดินชมนกชมไม้ในเวลาเดียวกัน

ซื้อตั๋วตรงนี้

22

23

ขึ้นไปชมวิวด้านบนหอคอยกันเถอะ

26.1

26

25

26.2

ข้อความคู่รัก

27

ใครจะซื้อกุญแจมาคล้องเค้ามีขายนะ

28

 

เดินเล่นด้านล่างสนุกกว่า

28.1

29.1

29

ชอบเจ้าตัวนี้ ยกกลับไทยได้มั้ยคะ

30.1

30.2

หอคอยนัมซานทาวเวอร์แบบชัดๆ

30

29.3

 

“ซีฟู๊ดหม้อไฟ” เมนูที่เหมาะสำหรับอากาศหนาวๆ

พูดถึงอาหารเกาหลี บางคนนึกถึงแค่ปิ้งย่าง กิมจิ หรือข้าวยำ จริงๆ แล้วอาหารเกาหลีมีหลากหลายกว่าที่คิดนะจ๊ะ หนึ่งในเมนูที่น่าลองคือ “ซีฟู๊ดหม้อไฟ” ส้มอยากกินเมนูนี้มากๆ ตั้งแต่ดูรายการอร่อยเด็ดสไตล์เกาหลี ทางช่อง True x-zyte มาเกาหลีทั้งทียังไงก็ต้องลองให้ได้

แล้วส้มก็เห็นข้อมูลแนะนำร้านที่มีเมนูหม้อไฟในหนังสือนำเที่ยว เราขอตามรอยนักเขียนดูซักหน่อย ร้านชื่อ “เมียงดงออมอนี แฮมุนทัง(แฮมุนทัง แปลว่า ซีฟู๊ดหม้อไฟ) ตั้งอยู่ในตลาดเมียงดงเช่นกันค่ะ แต่ว่าหายากกว่าที่คิด เราใช้เวลาเดินหาอยู่ครึ่งชั่วโมงกว่าจะเจอ เพราะร้านมันอยู่ในซอยเล็กๆ ป้ายหน้าร้านก็ไม่ค่อยเด่น ดีนะที่จำป้ายโฆษณาจากหนังสือนำเที่ยวได้ ไม่งั้นภารกิจนี้คงไม่สำเร็จ

พูดภาษาเกาหลีไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะทางร้านมีเมนูแบบรูปภาพด้วย ส้มสั่ง “ซีฟู๊ดหม้อไฟ” ที่เล็กไป 1 ชุด อีกอย่างคือปูดองซีอิ้ว 1 จาน ขอบอกว่าขนาดเล็กของเกาหลีคือขนาดใหญ่(มาก)สำหรับคนไทยนะคะ คนเกาหลีนี่กินเก่งจริงๆ

ส่วนประกอบในซีฟู๊ดหม้อไฟมีปลา , กุ้ง , หอย ปลาหมึก และผัก น้ำซุปมีรสชาติเผ็ดนิดๆ เปรี๊ยวหน่อยๆ ตอนที่ซุปเดือดปุดๆ แล้วซดทั้งที่ยังร้อนชั่งเหมาะกับอากาศหนาวในวันนี้ซะจริงๆ อีกเมนูนึงคือปูดองซีอิ้ว เห็นคนเกาหลีเค้าช๊อบชอบ เลยลองสั่งมากินบ้างแต่ไม่อร่อยอย่างที่คิดค่ะ ปูดองบ้านเราแซ่บกว่าเยอะ

ที่อยู่ร้านเมียงดงออมอนี แฮมุนทัง : Myeong-dong 2-ga, 32-8 ร้านอยู่ประมาณกลางซอย

ปากซอยทางเข้าร้าน ที่ลูกศรสีแดงชี้อ่ะค่ะ

45

ซอยเล็กแค่นี้แหละ

46

ถึงซะทีหลังจากที่ตามหามาตั้งนาน

44

43

อาหารหลากหลายมาก อยากลองกินไปหมดเลย

34

35

กิมจิต้องมาก่อน

36

หม้อไฟมาแล้ว (ซีฟู๊ดหม้อไฟ ขนาดเล็ก 30,000 วอน)

38

37

เดือดแล้ว น่ากินมากกกก

40

40.1

41

ปูดองซีอิ้ว (25,000 วอน)

39

 

สำรวจตลาดเมียงดง รอบที่ 1 (Myeong-dong Market)

หลังจากอิ่มกับหม้อไฟก็ถึงเวลาเดินย่อยที่ตลาดเมียงดงแล้วค่ะ ย่านนี้นักช้อปห้ามพลาด ไม่ว่าจะมาเที่ยวกับทัวร์หรือเที่ยวเองต้องมาที่นี่ให้ได้นะคะ เพราะมันคือแหล่งรวมสารพัดร้านค้า เรียกว่าเป็นตลาดที่ฮิตติดลมบน คนเยอะทั้งวัน ยิ่งหลัง 1 ทุ่มมีร้านรถเข็นบรรยากาศจะคึกคักขึ้นอีกเป็นกองเลยค่ะ เดือนพฤษภาคมที่อากาศเย็นสบายอย่างนี้ได้เดินชมสินค้าเฉยๆ ก็มีความสุขแล้วล่ะ

จุดเด่นของเมียงดงคือร้านเครื่องสำอางที่มีหลายแบรนด์ ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์กลางๆ ราคาวัยรุ่นเอื้อมถึง โดยเฉพาะ Etude House , skinfood , The Face Shop และ Nature Republic แค่ในเมียงดงมี Shop ไม่ต่ำกว่า 5 แห่ง แถมราคาถูกกว่าเมืองไทย 2-3 เท่า เดินไปทางไหนก็มีแต่สาวสวยเรียกให้เข้าร้านตัวเองโดยเอาของฟรีมาล่อ เราต้องใจแข็งนะคะ ไม่งั้นเงินอาจปลิวจากกระเป๋าเราไปแบบง่ายๆ (>_<)

นอกจากเครื่องสำอางที่ละลานตาแล้ว สิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวตื่นตาตื่นใจอีกอย่างคือ Street Food ใครยังไม่อิ่มจากมื้อหลักก็มาเดินหาของกินแบบนี้ต่อได้ ราคาไม่ถูกแต่ถือว่าได้ลองเพื่อเป็นประสบการณ์ค่ะ

เดินเล่น ถ่ายรูป และกินอาหารข้างทางจนหนำใจแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราต้องกลับไปพักซักที วันนี้เป็นวันแรกของทริปไม่อยากเที่ยวเยอะ เพราะเข็ดจากทริปญี่ปุ่นที่งกอยากไปหลายๆ ที่ตั้งแต่วันแรก ร่างเลยแหลกตั้งแต่วันแรกเช่นกัน ทริปนี้เราจะไม่ทำผิดซ้ำสอง ดังนั้นไปนอนดีกว่า Zzzzz

ปล.8 ร้านอาหารและรถเข็นที่เมียงดงราคาค่อนข้างแพงกว่าย่านอื่นนะคะ ส้มลองเปรียบเทียบจากย่านอินซาดง กับถนนซัมซองดองกิล อาหารถูกกว่าเมียงดงทั้งนั้นเลย

วิธีการเดินทางไปตลาดเมียงดง : รถไฟใต้ดินสาย 4 สถานี Myeong-dong ทางออก 6 , 7 หรือ 8 รวมถึงสถานี Euljiro 1-ga ทางออก 6 , ด้านใต้สถานีรถไฟบางแห่งมี underground shopping centers ด้วยนะ

ตลาดเมียงดงในวันที่ฝนเพิ่งหยุดตก

32

ร้านรถเข็นนี่แหละเป้าหมาย ต้องขอลองซักหน่อย

33

49

ไอติมปลาร้านนี้อร่อยอ่ะ ด้านบนมีรังผึ้งด้วย (4,000 วอน)

48

47

 

*************************************************************************************************************************************

Day 2: ชมพระราชวังเคียงบก ใส่ชุดฮันบกที่อินซาดง นั่งชิลคลองชองเกชอน & กินอาหารร้านเต็นท์

พระราชวังเคียงบก

อยากรู้ประวัติศาสตร์และเห็นวัฒนธรรมผ่านสถาปัตยกรรมของชาติที่เราไปเที่ยว แนะนำว่าต้องไปพระราชวังค่ะ ที่เกาหลีมีหลายพระราชวังให้เพื่อนๆ ได้เข้าชม แต่ที่ได้รับความนิยมมากสุดเห็นจะเป็น “พระราชวังเคียงบก” (Gyeongbokgung Palace) หรือที่ชาวเกาหลีเรียก “เคียงบกกุง” เป็นพระราชวังหลักและสวยงามที่สุดแห่งราชวงศ์โชซอน

ส้มได้เห็นพิธีเปลี่ยนเวรยามของทหารเฝ้าพระราชวังพอดี ดูขลังและสวยงามในเวลาเดียวกัน ระหว่างชมมีเจ้าหน้าที่คอยบรรยายเรื่องราวเป็นภาษาเกาหลี อังกฤษ จีน และญี่ปุ่นให้ฟัง สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเท่านั้นนะคะ คนเกาหลีเองก็มาเที่ยวไม่ใช่น้อย ส้มเห็นเด็กๆ มาทัศนศึกษาเยอะมากทำเอาพระราชวังดูเล็กไปถนัดตา

ด้านหลังมีพิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติเกาหลีด้วยนะคะ แต่เราแค่ผ่านถ่ายรูปเฉยๆ เพราะวันนี้ต้องไปหลายที่ ขอข้ามที่นี่ไปก่อนแล้วกัน ถ้ามีโอกาสมาอีกจะหาเวลาเข้าไปชมนะจ๊ะ

วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดิน สาย 3 สถานี Gyeongbokgung ทางออก 5 จากนั้นเดินตรงไป 150 เมตร จะเจอประตู Gwanghwamun (ค่าเข้าชมคนละ 3,000 วอน) GPS : 37.578601,126.976858

ตื่นเต้นมากได้ดูพิธีเปลี่ยนเวรยาม

52

51

วันนี้มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก

56

54.1

สถาปัตยกรรมแบบเกาหลี สมัยโบราณก็สวยไม่แพ้ชาติใดนะ

55

58

60

60.1

พระตำหนักกลางน้ำ

59

ต้นไม้รูปทรงสวยจัง

58.1

ด้านหลังพระราชวัง เป็นพิพิธภัณฑ์ (สร้างซะอลังการมาก)

61

61.1

 

ถนนซัมซองดง และ ถนนกัมโกดงกิล

“ถนนซัมซองดง” (Samcheongdong-gil) และ “ถนนกัมโกดงกิล” (Gamgodang-gil) อยู่ใกล้ๆ กับพระราชวังเคียงบก สำหรับคนที่ต้องการไปเที่ยวที่หมู่บ้านบุกชอนฮันอก สามารถเดินเลาะถนนเส้นนี้ไปได้เลย ถนน 2 เส้นนี้ทำเอาส้มหลงรักเกาหลีเข้าอย่างจังเลยค่ะ คือมันเป็นการผสมผสานศิลปะและธรรมชาติได้อย่างลงตัวมาก ทั้งกำแพงที่เพ้นท์ภาพ ต้นไม้สวยๆ ร้านค้าและค่าเฟ่ที่ตกแต่งแนวๆ แต่ก็เห็นความงามในแบบเกาหลีดั่งเดิมแฝงอยู่ ทำให้เห็นถึงความใส่ใจของทุกๆ ร้านบริเวณนั้น จนอยากแวะเข้าไปทุกที่เลย ตั้งใจไว้ว่าถ้าได้กลับไปเกาหลีครั้งหน้าจะขอไปเดินเล่นที่นี่อีก ช๊อบชอบ (มุมถ่ายรูปก็เพียบนะจ๊ะ ขอบอก)

วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 3 สถานี Anguk ทางออก 1 ทั้งสองถนนสามารถทะลุถึงกันได้

ถนกัมโกดงกิล GPS: 37.577704,126.982395 ถนนซัมซองดง GPS: 37.581883,126.981418

ฉันรักที่นี่ เพราะที่นี่…น่ารัก “Samcheongdong-gil”

63.1

67

เจ๋งป่ะล่ะ

66

63

อยากเข้าร้านนี้อ่ะ คือดีงาม

68

64

ต่อด้วย “Gamgodang-gil” เลอค่า

69

70

72

แชะ แชะ แชะ

72.2

72.1

71

อยากแวะทุกร้านอ่ะ บอกเลย

83.3

หน้าตาดี แต่ไม่เห็นอร่อยเลย แหะๆ

73

 

มื้อเที่ยงวันนี้พากิน ต๊อกปกกี “ร้าน Mukshidonna”

พูดถึงต๊อกปกกี บางคนคงนึกถึงแป้งแท่งยาวๆ ใช่มั้ยคะ แต่เมนู “ต๊อกปกกี” (Tteokbokki : spicy rice cake) ของเราในวันนี้ไม่ได้มีแค่แป้งนั้น ลักษณะคล้ายๆ หม้อไฟผสมบูเดจิเก แต่ซอสข้นและหวานกว่า ร้านที่ส้มจะพาไปคือ “ร้าน Mukshidonna” (먹쉬돈나) อ่านว่า มอก-ชวี-ดน-นา เป็นร้านที่อยู่แถวถนนซัมซองดง (Samcheong-dong)

ส้มรู้จักร้านนี้จากรายการอร่อยเด็ดสไตล์เกาหลี (อีกแล้ว) ลูกค้าต่างบอกว่ารสชาติอร่อยจนต้องต่อคิวรอในช่วงเที่ยงวัน เราไม่เชื่อใครง่ายๆ ขอไปลองเองให้รู้ดีกว่า เสิร์ชหาข้อมูลมั่วๆ จนรู้ว่าร้านมีชื่อว่าอะไร จากตอนแรกรู้แค่ว่ามันตั้งอยู่แถวถนนไหน แล้วก็มาเจอ 1 รีวิวของคนไทยที่เคยพาไปกิน (เยี่ยมไปเลย) งั้นวันนี้ต้องขอไปลองชิมซักหน่อยแล้ว

ใจจริงอยากกินเมนูต๊อกปกกีซีฟู๊ดใส่ชีส แต่ว่าซีฟู๊ดหมดเลยสั่งต๊อกปกกีธรรมดามาแทน เจ้าของร้านไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้นะคะ ส้มใช้วิธีเทียบเมนูที่เค้ารีวิวเป็นภาษาไทยไว้ให้ แล้วชี้ๆ เอา สิ่งที่เยอะสุดในหม้อคือแป้งต๊อก (ก็แน่ล่ะ) ไอ้เราสองคนก็ไม่ชอบแต่ต้องทนกินไป ส้มค่อนข้างชอบรสชาติน้ำซอสหวานๆ เผ็ดๆ ข้นๆ เสียดายที่น้ำมันงวดเร็วไปหน่อย คนที่ยังไม่อิ่มลองสั่งข้าวเปล่ามาแล้วแม่ค้าจะนำมาผัดเป็นข้าวผัดให้กินได้นะคะ

เรื่องที่ฮาสำหรับทริปเกาหลีคือแม่ค้าพ่อค้าต่างคิดว่าเราสองคนเป็นชาวจีน พากัน “หนีห่าว” ใส่เรากันหมด คุณป้าร้านต๊อกก็เหมือนกัน แกพูดกับเราภาษาจีน ไอ้เราก็บอกว่าไม่ใช่คนจีนแล้วพูดภาษาอังกฤษกับแก คุณป้าแกก็ยังยึดมั่นที่จะพูดจีนใส่เราต่อไป เฮ้อ!

ที่ตั้ง : 17-18 Anguk-dong, Jongno-gu (ใกล้ Pungmoon Girl’s High School, Duksung Girls)

วิธีการเดินทาง: http://www.trazy.com/spot/115/Mukshidonna+%EB%A8%B9%EC%89%AC%EB%8F%88%EB%82%98#tab:direction

หมายเหตุ : ตอนนี้ร้านมีสาขาอื่นๆ ด้วย ยังไงลองหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเพิ่มเติมดูนะคะ (เสิร์ชจากชื่อร้านภาษาอังกฤษได้เลยจ้า)

เข้าซอยที่ลูกศรชี้

74

ร้านอยู่ด้านขวามือ

75

76

 เห็นประตูร้านแบบนี้มาไม่ผิดที่แน่ๆ ค่ะ

77

มาแล้วต๊อกปกกี (มื้อนี้จ่ายไป 14,000 วอน)

78.2

78.1

อร่อยนะ ถ้ามีเนื้อสัตว์ด้วยจะเยี่ยมมาก

79

79.1

 

หมู่บ้านบุกชอนฮันอก

“หมู่บ้านบุกชอนฮันอก” (Bukchon Hanok Village) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรไปเยือน สิ่งที่โดดเด่นและทำให้เราต้องไปเที่ยวให้ได้คือความสวยงามของบ้านเรือนแบบดั่งเดิม ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้กว่าร้อยหลัง ถือว่าเป็นย่านเก่าแก่ของกรุงโซลเลยล่ะค่ะ

การมาเที่ยวหมู่บ้านบุกชอนฮันอกต้องใช้กำลังเท้าเยอะซักหน่อยเพราะหมู่บ้านตั้งอยู่บนเนินเขา นักท่องเที่ยวอย่างเราถ้าอยากเห็นความสวยงามต้องยอมเหนื่อยซักหน่อยนะจ๊ะ (เดินเสร็จหอบแฮ่กเลย 555) ถ้าเพื่อนๆ เห็นเจ้าหน้าชุดแดงใส่หมวกเหมือนคาวบอยให้รีบเข้าไปขอแผนที่เลยค่ะ (เจ้าหน้าที่ใส่ยูนิฟอร์มแบบนี้คือผู้ที่เราสามารถเข้าไปขอข้อมูลการท่องเที่ยวได้นะ) ในแผนที่ระบุจุดชมวิวไฮไลท์ แต่ส้มว่าไม่ต้องไปซีเรียสเรื่องบริเวณที่เค้าแนะนำหรอกค่ะ เพราะตรงไหนก็มีเสน่ห์และความงามของมัน ความสุขของการท่องเที่ยวไม่ได้อยู่ที่จุดหมายเสมอไป ข้างทางก็มีสิ่งที่น่าสนใจให้เราได้ชื่นชม ฮิ้วววว

ข้อแนะนำและขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยวสำหรับการเดินชมหมู่บ้านเก่าแก่แห่งนี้ คือไม่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อยู่อาศัย และควรมาหลัง 10.00 น. เพื่อให้เจ้าของบ้านเค้าได้ใช้ชีวิตส่วนตัวแบบไม่มีนักท่องเที่ยวมาคอยห้อมล้อมบ้านนะคะ

วิธีเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 3 ลงสถานี Anguk ทางออก 2 จากนั้นเดินไปตามถนน Bukchon-ro ทางเดินไต่เขาไปเรื่อยๆ GPS: 37.559263,126.994577

ระหว่างทางเดินไปหมู่บ้านบุกชอน ร่มรื่นดีจัง คิดไม่ผิดที่มาฤดูนี้

86

ที่เกาหลีงาน “Art” ต้องมา

85

เดินเมื่อยๆ เหนื่อยก็หยุดพัก

86.1

ถึงแล้วหมู่บ้านบุกชอน อย่าลืมทำตามข้อแนะนำในป้ายนี้ด้วยนะ

81

ใครว่าความเก่าดูไม่น่าสนใจ นี่ไงสวยๆ ทั้งนั้น

83

82

81.2

หน้าบ้านใครไม่รู้ หนูขอซักภาพนะคะ

83.1

81.1

เหนื่อยอีกล่ะ หยุดพักแป๊บ (ชอบทริปนี้ตรงไม่ต้องรีบร้อนนี่แหละ)

83.5

83.4

แสนเกร๋ (อยากกระโดดไปนั่งคาเฟ่นี้อ่ะ)

84

 

ย่านอินซาดง ถนนสายสั้นๆ แต่มากไปด้วยร้านค้า

จากหมู่บ้านบุกชอนฮันอกก็เดินต่อมาที่ “ย่านอินซาดง” (Insadong)  เราเดินจริงๆ นะคะ ระยะทางไม่ไกลมากหากเดินไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปไปพลางๆ แป๊บเดียวก็ถึง

อินซาดงเป็นย่านที่อนุรักษ์วัฒนธรรมเกาหลี มีร้านขายสินค้าดั้งเดิม แกลเลอรี รวมถึงศิลปะแบบพื้นบ้าน แม้แต่ร้านกาแฟแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Starbucks ยังต้องเปลี่ยนป้ายร้านจากภาษาอังกฤษเป็นเกาหลีเพื่อให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม (สุดยอด) ถนนเส้นนี้จึงถือเป็นแหล่งรวมความเป็นเกาหลี แต่ไม่ได้มีแต่ของเก่าๆ นะคะ ความทันสมัยก็มีอย่างเช่น ร้านกาแฟเก๋ๆ หรือ “ตึกซัมจี-กิล” (SSamZie-gil) ที่รวมเอาสินค้าอาร์ตๆ แฮนด์เมด ให้เราได้เลือกซื้อ เรียกว่ามาอินซาดงที่เดียวได้หลายอารมณ์เลยจ้า

จุดหมายหลักที่มาอินซาดงของส้มคือการลองใส่ชุดฮันบก ใครอยากใส่ชุดประจำชาติเกาหลีถ่ายรูปโดยจ่ายเงินน้อยนิดเพียงแค่ 3,000 วอน แนะนำให้เข้ามาที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (information center) ซอยอินซาดง 11 (Insadong 11-gil) พอไปถึงให้บอกเจ้าหน้าที่ว่าต้องการแต่งชุดฮันบกกี่ท่านแล้วจ่ายเงิน

จากนั้นก็แค่รอคิว เมื่อถึงเวลาของเราเค้าจะให้เลือกชุดที่ชอบพร้อมใส่ให้ด้วย ส้มเลือกไม่ถูกเลยค่ะ มีแต่สวยๆ สีสันสดใสทั้งนั้น ใครใคร่จะเป็นพระราชาหรือขุนนางก็เป็นได้ตอนนี้แหละ ฉากที่เตรียมไว้ให้ก็ได้บรรยากาศความเป็นเกาหลีสมัยก่อน ใช้เวลาถ่ายรูปอยู่ประมาณ 10-15 นาที คุ้มกับ 3,000 วอนมากๆ ค่ะ

วิธีการเดินทางไปอินซาดง (หากไม่ได้เดินมาแบบส้ม) : สถานี Jongno 3-ga ทางออก 4 หรือสถานี Jonggak ทางออก 3

ถนน “อินซาดง” ร้านค้าเพียบ

87

89

88

96.1

ลองแวะดู “ตึกซัมจี-กิล” (SSamZie-gil) 

99

ขนมอุนจิ ฮิตเหลือเกิน

100

ไฮไลน์ประจำวัน “ใส่ชุดประจำชาติเกาหลี”

89.2

89.1

นักท่องเที่ยวชาวจีน แฮปปี้กันใหญ่เลย

89.3

 

ร้านเกี๊ยวชิ้นยักษ์ที่อินซาดง

ภารกิจต่อมาหลังจากใส่ชุดฮันบกคือการตามหาร้านเกี๊ยว ที่อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ แนะนำไว้ในรายการเปิดตำนานกับเผ่าทอง ส้มไม่รู้ว่าร้านมีชื่อว่าอะไรนะคะ รู้แต่ว่ามันอยู่ในซอย Insadong 9-gil เป็นซอยเล็กๆ เข้าไปไม่มีหลงค่ะเพราะเป็นซอยตันและมีร้านที่นึ่งเกี๊ยวส่งกลิ่นหอมรอนักท่องเที่ยวอย่างเราอยู่ร้านเดียว (สังเกตหน้าปากซอยจะมีป้ายโฆษณาร้านใหญ่พอสมควรค่ะ)

ก่อนสั่งตั้งสติกันหน่อยนะคะ อย่าเชื่อภาพในป้ายโฆษณาเพราะมันทำให้เราหลงเข้าใจว่าเกี๊ยวชิ้นเล็กนิดเดียว ส้มขอให้ทุกคนชะเง้อดูเกี๊ยวที่เค้าทอดและนึ่งอยู่หน้าร้านก่อนจะสั่ง เพราะเกี๊ยวร้านนี้คือเกี๊ยวสำหรับแฮกริด ไซน์ใหญ่เท่ากำปั้นทุกชิ้นเลยจ้า ส้มเกือบสั่งชุดใหญ่แล้วดีนะที่พี่นักท่องเที่ยวคนไทยกระซิบว่า “ชิ้นมันใหญ่มากนะน้อง สั่งจานใหญ่กินไม่หมดหรอก เชื่อเพ่!!” แต่ขนาดเตรียมใจไว้จะเจออะไร แต่พอพนักงานนำมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะก็ยังอดอุทานไม่ได้ “โอ้ว มันใหญ่มาก”

เรื่องรสชาติของไส้กลมกล่อมดี หมูเต็มๆ คำ แต่ส้มชอบลูกชิ้นที่สุดค่ะ (เอิ่ม มากินร้านเกี๊ยว เธอชอบลูกชิ้น) ถึงจะอร่อยแค่ไหนกินไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเลี่ยน แม้ทางร้านมีไชเท้าดองสีเหลืองไว้ให้กินแกล้มแก้เลี่ยน แต่ไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่อ่ะค่ะ  มารดำในใจบอกว่า “พอแล้ว ท้องจะแตกแล้ว” มารขาวก็กระซิบว่า “จานนี้หลายวอนนะแก รีบๆ กินไปเสียดายของ” สุดท้ายเลือกเชื่อมารขาวค่ะ 555

ถ้ายังกินเกี๊ยวไม่อิ่ม (ใครไม่อิ่มนี่นับถือเลย) ส้มอยากให้ลองเดินเข้าไปชิมชา 5 รสในคาเฟ่ข้างร้านเกี๊ยวนะคะ (บ้านไม้สีเหลือง สไตล์เกาหลี) ส้มเห็นอาจารย์เผ่าทองแนะนำให้ไปลอง ร้านตกแต่งสวยน่านั่ง แต่กระเพาะรับน้ำหนักมาเยอะแล้วส้มเลยขอบายค่ะ

ปากซอยทางเข้าร้านเกี๊ยว(ยักษ์)

97

98

93

อาวุธพร้อม

92

มาแล้ว จานหย่ายมากกกก (8,000 วอน)

91

เทียบหน้าให้ดูเลย

91.1

เกีี๊ยวกุ้ง กับเกี๊ยวไส้กิมจิก็น่าสน แต่จุกแล้ว

95

ใครยังไม่อิ่ม แนะนำมานั่งจิบชาที่คาเฟ่นี้ต่อได้เลย

94

 

นั่งพัก ชมวิว เดินเล่น ถ่ายรูป @ คลองชองเกชอน & จัตุรัสควางฮวามุน

คุณสามีดูแผนที่ใน Google map บอกว่าจากอินซาดงไป “คลองชองเกชอน” (Cheong gye cheon) ไม่ไกลเท่าไหร่(น่าจะ)พอเดินไปไหว ไอ้เราไม่ได้รีบเร่งอะไรตัดสินใจเดินอย่างที่คุณผู้ชายแนะนำ (ตอนหลังได้สติว่ากรูคิดผิดมหันต์) คือลืมประเมินสังขารตัวเองไงคะว่าตั้งแต่เช้ายันบ่ายเราเล่นเดินกันไม่ได้หยุด กว่าจะไปถึงคลองชองเกชอนลมแทบจับ เท้าระบมกันเลย

แต่สิ่งตอบแทนที่ได้เมื่อมาถึงคลองชองเกชอน คือความสดชื่นค่ะ ฟังดูธรรมดาเพราะคำว่า “คลอง” มันจะมีอะไรน่าสนใจ แต่คิดผิดค่ะ ทางเดินเลียบคลองมีต้นไม้ น้ำตกจำลอง และแม่น้ำที่ใสสะอาด มันเป็นความคอนทราสต์ระหว่างธรรมชาติกับเมืองหลวง ใครจะคิดว่ามหานครที่มีผู้คนพลุกพล่าน จะมีสถานที่สงบๆ แบบนี้ มันเหมาะมากที่จะมาพักผ่อน แค่ได้นั่งพักก็เหมือนชาร์จแบตเตอรี่ให้ร่างกายที่แสนเหนื่อยล้า ส้มเห็นคนเกาหลีนั่งเล่นกันตลอดเส้นทาง ต้นคลองมีน้ำตกและรูปปั้นหอยเป็นสัญลักษณ์ตั้งตระหง่านอยู่ ใครไปใครมาก็มักจะมาถ่ายรูปคู่ด้วย แล้วเราจะพลาดได้ไงคะ ขอซักหนึ่งแชะแล้วกัน สบายจายยย

คลองธรรมดา แต่รู้สึกผ่อนคลายมากๆ เลย

103

104

106

น้ำตกขนาดย่อม

107.1

รอบๆ

105

สัญลักษณ์ประจำคลองชองเกชอน

108

 

เพียงแค่เดินข้ามฝั่งถนนเราจะเจอ จตุรัสควางฮวามุน” (Gwanghwamun Square) เป็นจตุรัสที่ตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางของเมืองประวัติศาสตร์ 600 ปีอย่างกรุงโซล บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของรูปปั้นของนายพลยีซุนชิน (Yi Sun-Shin) และที่สำคัญคือ “อนุสาวรีย์พระเจ้าเซจงมหาราช” (Sejong the Great of Joseon) กษัตริย์นักพัฒนาแห่งราชวงศ์โชซอน   พระองค์ทรงเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นอักษรฮันกึล (ตัวอักษรภาษาเกาหลี) ฉากหลังอนุสาวรีย์เป็นภูเขาและท้องฟ้าสีคราม อื้อหือ งามอย่าบอกใคร (ก็บอกอยู่นี่หว่า 555)

วันที่ส้มไปบริเวณจตุรัสถูกจัดเป็นสถานที่จัดงานรำลึก 1 ปีเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเรือเซวอลอัปปาง ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 300 คน (ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนที่เดินทางไปทัศนศึกษา) และยังมีผู้โดยสาร 9 คนที่ยังสูญหาย ส้มยืนมองภาพถ่ายของเด็กๆ ที่เสียชีวิตรู้สึกหดหู่และสงสารครอบครัวเค้าจัง ยังไงก็ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ครอบครัวผู้สูญเสียด้วยนะคะ

GPS คลองชองเกชอน: 35.569141,126.978666

วิธีเดินทางไปจตุรัสควางฮวามุนรถไฟใต้ดินสาย 5 สถานี Gwanghwamun ทางออก 2 จากนั้นเดินตรงไปเล็กน้อย จัตุรัสอยู่ทางซ้ายมือ GPS: 37.572884,126.976864

นายพลยีซุนชิน

110.1

110

อนุสาวรีย์พระเจ้าเซจงมหาราช

111

นั่งชิลๆ สบ๊ายสบาย

112.1

ท่ามกลางตึกสูง

108.1

พิธีรำลึกเหตุการณ์เรือเซวอลอับปาง

109

 

นั่ง “ร้านเต้นท์” แบบในซีรีย์ที่กรุงโซล

ใครเคยดูซีรีย์เกาหลี คงคุ้นตากับฉากพระเอกนางเอกนั่งสังสรรค์กันในร้านเต้นท์สีแดงใช่มั้ยคะ ส้มกับคุณสามีเลยอยากลองไปร้านเต้นท์กะเค้าบ้าง เราหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตอยู่นาน ส่วนใหญ่รีวิวข้อมูลไม่ชัดเจน ยังดีที่เว็บนึงเขียนค่อนข้างละเอียดว่าบริเวณสถานี Jongno-3(sam)-ga ทางออก 3-5 มีร้านเต้นท์ตั้งอยู่เยอะ เราลองมาหาคำตอบว่าจริงอย่างที่เค้าว่ารึเปล่า

ส้มนั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Jongno-3(sam)-ga (Sam แปลว่า 3) ทางออก 3 จากนั้นเดินขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงบริเวณทางออก 4 ระหว่างทางมีร้านเต้นท์ให้เลือกเยอะแยะเลยค่ะ แต่เรากำลังมองหาร้านที่พอจะสื่อสารกับแม่ค้าได้ , มีเมนูภาษาอังกฤษหรือรูปภาพอาหารให้เราดู ขออย่างใดอย่างนึงก็ยังดี ถ้าไม่มีอะไรเลยจะสั่งอาหารไม่ถูก อีกอย่างส้มกลัวแม่ค้าไล่ตะเพิดเพราะคุยกันไม่รู้เรื่องด้วยน่ะค่ะ (สามีส้มกับเพื่อนเค้าเคยเจอประสบการณ์แม่ค้าสาดน้ำไล่มาแล้วค่ะ)

และแล้วก็มาเจอร้านนึงที่แม่ค้าพ่อค้าท่าทางดูเป็นมิตร เรียกเราเข้าร้าน และที่สำคัญมีปลาหมึกเป็นๆ ในตู้โชว์ เป็นเมนูที่คุณสามีอยากลองกินที่สุดอยู่ด้วย รีบหาที่นั่งอย่างไวเลยคราวนี้ (^0^)

ร้านนี้มีสองเต้นท์ติดกัน คุณลุงคุมร้านขวาคุณป้าคุมร้านซ้าย ลูกค้าสั่งอาหารได้ทั้งสองร้าน เมนูเป็นภาษาอังกฤษแต่ไม่มีรูป เลยเดาไม่ค่อยออกว่ามันคืออาหารประเภทไหน รู้จักแต่คำว่า “ซันนักจี” (ปลาหมึกสด) เพราะตั้งใจจะสั่งอยู่แล้วเลยท่องมา

จากนั้นก็สั่งโซจู 1 ขวด , รามยอน (มาม่าต้ม) และออมุก (โอเด้งเกาหลี) มาเพิ่ม แต่ไม่รู้ทำไมได้แป้งต๊อกผัดซอสมาแทน แต่ไม่เป็นไรกินได้ (><”) ระหว่างรออาหารคุณป้าก็ยกซุปหอยแมลงภู่มาให้ งงสิคะ “หนูไม่ได้สั่งนะป้า” คุณป้ารีบบอกว่า “ฟรี” ตาวาวเลยค่ะ เฮ้ย! มีอาหารให้ฟรีด้วยอ่ะ นั่งกินไปซักพักคุณลุงก็ยกไข่ดาวสองฟองมาให้กินฟรีอีก เราสองคนยิ้มแก้มแทบแตก ได้แต่พูดว่า “คัมซาฮัมนีดา” ขอบคุณมากๆ นะคะคุณลุงคุณป้า เลิฟยู   (^.^)

มื้อนี้จ่ายไป 31,000 วอน สิ่งที่คุ้มค่ากว่าอาหารคือประสบการณ์และความน่ารักที่สัมผัสได้จากเจ้าของร้านทั้งสอง รวมถึงลูกค้าชาวเกาหลีในร้านที่คอยมองและให้กำลังเราตลอด (คงลุ้นมั้งว่ามันจะสั่งถูกมั้ย) ก่อนกลับเลยขอถ่ายรูปกับคุณป้าซักหน่อย ขอบคุณทุกคนที่สร้างความประทับใจและความทรงจำดีๆ ในวันนี้ให้ส้มนะคะ สัญญาว่าถ้าได้กลับมาเกาหลีจะมาอุดหนุนคุณป้าอีกครั้งค่ะ (อาหารอร่อยทุกอย่าง คอนเฟิร์ม)

ที่ตั้งร้านเต้นท์ที่เราไปกิน: สถานี Jongno-3(sam)-ga ทางออก 4 ตั้งอยู่ใกล้กับทางออกเลยค่ะ ร้านอยู่แล้วหัวมุมถนน อย่าลืมแวะไปทานกันเยอะๆ นะคะ

ร้านนี้นะ

116

จัดเมนูปลาหมึกสดก่อนเลย โหดมาก!!! (ไม่ใช่พ่อค้านะ ตรูนี่แหละ 555)

112.2

114

นี่คือขอแถม ป้าให้ฟรีไม่มีคิดเงิน เลิฟเลย (ยกเว้นขวดเขียวจ้า อิอิ)

113

รอแป๊บเดียว เต็มโต๊ะ

112.3

อร่อยทุกอย่าง เจ้คอนเฟิร์ม

115

115.1

คุณป้าเจ้าของร้านผิวดีงามมาก อิจฉาเบาๆ…ถ้าหนูไปเกาหลีอีก หนูจะไปอุดหนุนป้านะคะ

117

 

วันนี้เดินโหดมากเท้าระบมไปหมด เรี่ยวแรงที่เคยมีบัดนี้ไม่เหลือแล้ว (555) เราสองคนไปที่ไหนต่อไม่ได้นอกจากพยายามลากสังขารกลับห้องนอน ต้องรีบกลับไปชาร์จแบตเตอรี่ร่างกายเตรียมพร้อมเที่ยวต่อวันพรุ่งนี้

สำหรับ Part 2 ส้มจะพาทุกคนไป “เกาะนามิ” สถานที่แสนโรแมนติกของประเทศเกาหลี ต่อด้วยไปกินเมนูทักคาบิและจิมดักซีฟู๊ดแสนอร่อย ส่วนวันสุดท้ายบุกสำรวจตลาดนัมแดมุน , ตลาดร้อยปีควังจัง และละลายเงินวอนที่ “LOTTE Mart” ยังไงฝากติดตามด้วยนะคะ วันนี้ไปนอนก่อนแล้ว บ๊ายบาย

 

ลิ๊งค์ Part 2 https://www.i-som.com/?p=3852

 

ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ www.facebook.com/ISomThailand

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น